Scoop : China Town "ที่ดินของไทย เงินทุนจากจีน" แต่ส่งผลเสียกับเศรษฐกิจในประเทศ


 

 
 
 
 
จาก Special Report “ครม.อนุมัติ "ต่างชาติซื้อที่ดินในไทยได้" ดีต่อเศรษฐกิจไทย หรือ เป็นดาบสองคม?” ทำให้เราได้ทราบถึงความเสี่ยงที่ร่างกฎกระทรวงนี้อาจสร้างผลกระทบด้านที่อยู่อาศัยกับคนไทยด้วยกันได้ และหากเราย้อนรอยดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยจากการพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ก็พบว่าการเข้ามาพำนักอาศัยของคนจีนรุ่นใหม่ ที่ทำให้เกิดย่านเศรษฐกิจของชุมชนชาวจีนด้วยกัน ก็ได้สร้างผลกระทบให้กับคนไทยและเป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจสะสมมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน และมีท่าทีว่าจะส่งผลต่อไปยังอนาคตอีกด้วย หากภาครัฐยังคงนิ่งเฉย

ในช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีจำนวนชาวจีนกระจายตัวอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 100,000 คน ซึ่งเป็นชาวจีนรุ่นใหม่ที่ย้ายถิ่นฐานมาพำนักแบบชั่วคราว โดยมีทั้งนักธุรกิจ นักศึกษา ครูสอนภาษา พนักงานจากบริษัทแม่ และไกด์ท่องเที่ยว โดยหากมองดูในย่านกรุงเทพมหานคร จะพบว่าบริเวณถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ เขตห้วยขวาง ถือได้ว่าเป็นย่าน China Town ย่านใหม่ของไทยนอกเหนือจากย่านเยาวราชเลยก็ว่าได้ เพราะเนื่องด้วยย่านนี้เป็นที่ตั้งของสถานทูตจีน ประกอบกับทำเลห้วยขวางมี Facilities สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งการคมนาคม ที่เชื่อมต่อกับถนนรัชดาภิเษก ถนนพระรามเก้า หรือไปเส้นลาดพร้าวก็ย่อมได้ มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลพระรามเก้า เอสพลานาดและเดอะสตรีท จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนจีนมาพักอาศัยอยู่ในย่านห้วยขวาง และการเข้ามาของประชากรประเทศมหาอำนาจอย่างจีนนี้เอง ก็ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นย่านเศรษฐกิจที่เกิดธุรกิจ ร้านค้าต่างๆมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ก็เติบโตตามไปด้วย

เราจะเห็นได้เลยว่าบริเวณถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญมีอาคารพาณิชย์ทั้งสองฝั่งเรียงรายเปิดกิจการร้านค้ากันเต็มไปหมด โดยจะเห็นป้ายภาษาจีนตลอดทาง แสดงให้เห็นว่าทุนจีนนั้นหลั่งไหลเข้ามาในย่านนี้ ธุรกิจที่ผุดขึ้นมานั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นของชาวจีนที่ได้เช่าตึกแถวอาคารพาณิชย์เพื่อเปิดเป็นร้านค้าที่ขายให้กับชาวจีนด้วยกันเอง ด้านที่อยู่อาศัยก็เกิดโครงการคอนโดมิเนียมต่างๆ เพื่อรองรับชาวจีนที่เข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทย แสดงให้เห็นเลยว่าย่านดังกล่าวนั้นกลายเป็นชุมชนของชาวจีนโดยสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เองก็อาจจะเป็นตัวอย่างทำนายอนาคตให้กับร่างกฎกระทรวง ที่ทางครม.ได้เปิดไฟเขียวเมื่อวันที่ 25 ต.ค. อนุมัติให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อที่ดินได้ 1 ไร่สำหรับการอยู่อาศัยได้ เพราะมาตรการก่อนหน้าก็เปิดทางให้ชาวต่างชาติซื้ออาคารชุดได้อยู่แล้ว ดังที่เห็นในย่านห้วยขวางดังกล่าว ซึ่งหลังการเคลื่อนย้ายประชากรของชาวจีนรุ่นใหม่นับตั้งแต่ปี 2558 ราคาค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ย่านนี้ก็กระโดดขึ้นไป จากประมาณ 5 หมื่นบาท ปัจจุบันก็กลายเป็นราคาค่าเช่าอยู่ที่ 3-4 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งหากว่าย่านนี้ถึงราคาที่ดินจะสูงขึ้นมากจากปัจจัยเงินทุนจากจีนที่หลั่งไหลเข้ามา คงจะดีถ้าส่งเสริมให้เกิดการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนจีนรุ่นใหม่ มีแนวคิดแบบชาตินิยม สินค้าและบริการต่างๆ ล้วนเป็นสินค้าที่มาจากประเทศจีน และการมาอยู่อาศัยแบบชั่วคราว ไม่ได้ตั้งรกรากเหมือนคนจีนสมัยก่อน ปลายทางของเงินสะพัดเหล่านั้นจึงไม่ได้ตกมายังระบบเศรษฐกิจไทย แต่กลับไปที่ประเทศแม่ของพวกเขาเอง

 
 
และอีกย่านที่ได้รับผลกระทบคือ ย่านการค้าสำเพ็ง เขตสัมพันธ์วงศ์ ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาราคาค่าเช่าก็พุ่งทะยานจากระดับ 5 หมื่น ไปยัง 2-4 แสนบาทเช่นกัน โดยในปี 2562 นั้นพบว่าตามร้านรวงส่วนใหญ่นั้นมีเจ้าของเป็นชาวจีนที่เข้ามาเช่าที่อาคารพาณิชย์ และซอยแบ่งย่อยห้องเช่าให้คนจีนด้วยกันเข้ามาเช่าพื้นที่เปิดเป็นร้านค้า ซึ่งเพราะด้วยราคาค่าเช่าที่แพงเกินตามกลไกของตลาด ทำให้คนไทยที่เคยประกอบธุรกิจในย่านดังกล่าวหลายรายนั้นสู้ราคาค่าเช่าไม่ไหว ต่างต้องปิดตัวและระหกระเหินย้ายไปยังที่อื่น

และข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานถึงสถิติการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในไทยในปี 2564 พบว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 39,727 ล้านบาท โดยชาวต่างชาติ 5 ลำดับแรกที่ครองห้องชุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากที่สุด ได้แก่ จีน 19,588 ล้านบาท วานูอาตู 1,111 ล้านบาท สิงคโปร์ 786 ล้านบาท ไต้หวัน 740 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา 724 ล้านบาท โดยอันดับ 2 อย่างประเทศวานูอาตูก็เป็นประเทศที่เปิดให้คนจีนสามารถทำการซื้อและโอนสัญชาติมาเป็นประชากรในประเทศได้ ข้อเท็จจริงที่ว่าไทยกำลังเผชิญกับปัญหา Nominee จากทุนจีนที่เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ จึงยิ่งเป็นที่น่าหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก

ยังไม่รวมเรื่องของธุรกิจสีเทาที่มาจากทางฝั่งของจีน เนื่องจากแรงกดดันด้านระบบการให้คะแนนความประพฤติ หรือ Social Credit ที่ผลักดันให้คนที่มีคะแนนต่ำๆ ออกจากประเทศ ซึ่งก็ทำให้ทุนจีนประเภทธุรกิจสีเทาต่างกระจายออกมายังประเทศต่างๆ ฉะนั้นการที่ยิ่งเปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินได้ 1 ไร่เพื่อแลกมากับเงินลงทุน 40 ล้านบาท ก็จะยิ่งเอื้อให้ทุนจีนที่ปกติเป็นปัญหาอยู่แล้วเข้ามา และเอื้อให้ธุรกิจสีเทาจากทางจีนเข้ามายังประเทศได้อย่างไม่ติดขัด ซึ่งอาจทำให้คนไทยเข้าถึงที่อยู่อาศัยในทำเลดีๆ ได้ยากขึ้น ทำการประกอบธุรกิจได้ยากกว่าเดิมจากการสู้ราคาค่าเช่าไม่ไหว และคนจีนก็จะเข้ามาช่วงชิงการทำธุรกิจแทน ที่อาจใช้ไทยเป็นฐานทางทรัพยากร ทำการค้าขายดึงเงินไทยออกจากระบบเศรษฐกิจในประเทศและหอบเงินกลับบ้านไป โดยที่ไทยมีแต่เสียกับเสีย

LastUpdate 30/10/2565 16:50:05 โดย : Admin
กลับหน้าข่าวเด่น
03-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 3, 2024, 6:31 pm