อสังหาริมทรัพย์
ERA ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ รับมือเปิด AEC


 

ERA เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ สู่ยุค 4 G รับเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เผยสภาพเศรษฐกิจ ตลาดอสังหาริมทรัพยเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เร่งขยายเครือข่ายแฟรนไชส์ โมเดลใหม่ ปักธงทั่วประเทศ 70 จังหวัด

 

 
 
ตลาดบ้านมือสองที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของปริมาณทรัพย์สินที่ไหลเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และคอนโดมิเนียม รวมถึงความต้องการบ้านมือสองที่เพิ่มขึ้นจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งแนวเก่าและแนวใหม่ ที่สำคัญประเมินว่าความต้องการอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า จากการเปิดเสรีประชาคมเศรฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะมีความต้องการทั้งอาคารสำนักงาน และที่พักอาศัย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ทำให้บริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กรในอนาคต

 
 
 
นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานบริหาร บริษัท อีอาร์เอ แฟรนไชส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ERA) ผู้บริหารเครือข่ายแฟรนไชส์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ ในการขยายเครือข่าย ภายใต้ชื่อ "แฟรนไชส์ โมเดล ใหม่ ยุค 4 G"  เพื่อให้บริการด้านการขายครอบคลุมทั่วประเทศและรองรับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้นได้ ภายใต้แนวคิด 1 พื้นที่ 1 บริษัทมาสเตอร์ ไลเซนส์ทุกจังหวัด โดยแต่ละจังหวัดสามารถดำเนินธุรกิจได้ครบวงจร ภายใต้วงเงินค่าสิทธิ์ไลเซนต์สูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดตลาดและภาวะเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นๆ คาดว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่นี้ จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดและมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 2,200 ล้านบาท
 
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทใช้กลยุทธ์แบบรวมศูนย์ ทุกอย่างต้องส่งเข้ามาที่ศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ เช่น การฝึกอบรมตัวแทนขายต้องมาอบรมที่ส่วนกลางคือกรุงเทพฯ หลังจากนั้น จึงส่งกลับไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหามาก ทั้งในแง่ของความล่าช้าจากการเดินทาง ติดต่อ สื่อสาร และการขาดแคลนบุคคลากร  โดยเฉพาะการบริการที่ขาดตกบกพร่อง แต่ระบบใหม่นี้ จะสามารถแก้ปัญหาได้ครอบคลุมทั้งหมด โดยจะมีมาสเตอร์ ไลเซนต์ใน 70 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมาสเตอร์ ไลเซนส์ จะสามารถบริหารจัดการงานได้เองทันที ไม่ต้องส่งเข้ามาที่กรุงเทพฯเหมือนในอดีต อีกทั้งสาขาทั่วประเทศสามารถดูฐานข้อมูลเดียวกันได้ทั้งหมด ทำให้รู้ได้ทันทีว่ามีทรัพย์สินรายการใหม่เข้ามา หรือทรัพย์สินใดถูกขายออกไปแล้ว ส่งผลให้สามารถทำการตลาดได้อย่างรวดเร็ว

 
 
 
นายวรเดช กล่าวอีกว่า นอกจากการปรับโครงสร้างธุรกิจแล้ว บริษัทยังรับบริหารการขายโครงอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ด้วย ปัจุจุบันมีโครงการที่รับบริหารการขายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เช่น โครงการที่เชียงใหม่ และนครราชสีมา และอยู่ระหว่างเจรจาให้บริษัทบริหารการขายและการตลาดอีกหลายโครงการ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจาได้เร็วๆ นี้ 

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความสามารถในการบริหารได้เพียงปีละ 15 โครงการเท่านั้น เพราะมีบ้านมือสองที่ต้องบริหารการขายอีกจำนวนมาก ขณะที่มีพนักงานขายทั้งสิ้น 1,600  ราย แต่ทำงานเต็มเวลา (ฟูลไทม์)  มีเพียง 300 รายเท่านั้น  ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอ และยังต้องเปิดรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้สอดรับกับการปรับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมียอดขายได้ถึง 2,000 ยูนิต ด้วยมูลค่ามากถึง 10,000-12,000  ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มียอดขายแล้วกว่า 6,000 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปีที่ผ่านมา
 
“ทั้งนี้ มองว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังแข็งแกร่ง ยังเดินไปได้ดีอยู่ แม้ว่าจะขยายตัวลดลงบ้าง แต่ยังไม่ลดลงในระดับที่น่ากลัว เพียงแต่ช่วง 1-2 เดือนนี้ เป็นช่วงที่ต่างเกิดความสงสัย เป็นช่วงที่ดูเชิงกันอยู่ แต่มั่นใจว่าครึ่งปีหลังสภาพเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดีอยู่ และโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งคอนโดมิเนียมมือสอง และบ้านเดี่ยวมือสอง ที่มีโอกาสเติบโตสูงมากต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากอานิสงส์การก้าวเข้าสู่ AEC ที่จะมีประชากรเคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศมากขึ้น” นายวรเดชกล่าว
 
 

LastUpdate 05/07/2556 11:42:48 โดย : Admin
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 12:03 pm