"เอสซี" ส่งสัญญาณตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอ เหตุรับผลกระทบเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ยังเดินหน้าลงทุนเพิ่ม ครึ่งปีหลังลุยเปิด 8 โครงการใหม่ หวังดันรายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท
เรืออากาศเอกกรี เดชชัย ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ sc เปิดเผยว่า สภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาส 3 คาดว่ามีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยมีปัจจัยมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันสูงเพิ่มขึ้นด้วย โดยผู้ประกอบการจะใช้วิธีจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย และจะไม่ใช้วิธีดัมป์ราคาอย่างแน่นอน
ส่วนกระแสที่ผู้ประกอบการบางรายได้ปรับเพิ่มเงินดาวน์นั้น บริษัทยืนยันว่ายังไม่มีนโยบายที่จะปรับขึ้นเงินดาวน์ที่อยู่อาศัย โดยในส่วนของคอนโดมิเนียมยังกำหนดเงินดาวน์ 10% และแนวราบกำหนดเงินจองยูนิตละ 300,00 บาท ทำสัญญา 10% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อด้วยเงินสด โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ที่มีสัดส่วนถึง 70% ของโครงการทั้งหมด ขณะที่อัตราการทิ้งเงินดาวน์ของลูกค้ามีเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก
"บริษัทไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มเงินดาวน์แต่อย่างใด เพราะเน้นตลาดบ้านหรู ที่ลูกค้านิยมซื้อเงินสด มีการผ่อนชำระน้อยมาก ส่วนคอนโดมิเนียมที่หลายฝ่ายกังวลนั้น เรายังไม่เห็นปัญหาว่ามีลูกค้าทิ้งเงินดาวน์เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงมากกว่าการเก็งกำไร"
เรืออากาศเอกกรี กล่าวว่า ตลาดบ้านหรู หรือบ้านที่มีมูลค่าเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมทั้งสิ้นกว่า 15,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ประมาณ 10-15% ทั้งนี้ เชื่อว่าในตลาดบ้านหรูนี้เริ่มมีผู้ประกอบการหันมารุกในตลาดนี้เพิ่มมากขึ้น แต่บริษัทมั่นใจว่าจะเป็นผู้นำบ้านตลาดหรูอย่างแน่นอน
ด้านแผนการตลาดนั้น ในสัปดาห์หน้าจะนำคอนโดมิเนียม 3 แห่ง ไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ คือ โครงการเซนทริค ห้วยขวาง สุขุมวิท 49 และ 24 จากนั้นช่วงเดือนตุลาคม จะไปโรดโชว์ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยจะนำคอนโดมิเนียมเซนทริค ห้วยขวาง ไปเปิดขายด้วย คาดว่าจะมียอดขายทั้งหมด 700 ล้านบาท จากการโรดโชว์ทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมที่สุขุมวิททั้ง 2 แห่ง มูลค่า 200 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมเซนทริคที่ห้วยขวาง มูลค่า 500 ล้านบาท
สำหรับแผนการลงทุนโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทจะเปิดโครงการใหม่เป็นแนวราบทั้งหมด จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,850 ล้านบาท เน้นตลาดคฤหาสน์หรู บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมระดับพรีเมี่ยม ในกรุงเทพฯ 7 โครงการ และอีกโครงการเป็นบ้านพักตากอากาศยังแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลที่ชะอา-หัวหิน โดยจะเปิดพรีเซลส์ครอบคลุมเซ็กเมนท์ระดับกลาง-บน ที่เชื่อว่ายังคงเป็นเรียลดีมานด์ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป
โครงการที่จะลงทุน ประกอบด้วย 1.โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา -รามอินทรา 2 สไตล์ทัสคานี บนพื้นที่กว่า 25 ไร่ จานวน 53 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท 2. โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สาทร บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ จำนวน 132 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท 3.โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สาทร-ปิ่นเกล้า บนพื้นที่กว่า 19 ไร่ จำนวน 36 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท 4.โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 5 บนเนื้อที่กว่า 24 ไร่ จำนวน 111 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท
5.โครงการไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา บนพื้นที่ 57 ไร่ จำนวน 265 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท 6.โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด วงแหวน-อ่อนนุช2 บนพื้นที่ 45 ไร่ จำนวน 175 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท 7.โครงการทาวน์โฮม 2-3 ชั้น ใกล้ เดอะวอล์ค ราชพฤกษ์ คือ โครงการวิสต้า ปาร์ค สาทร-ปิ่นเกล้า บนพื้นที่ 20 ไร่ จำนวน 192 ยูนิต ราคาเริ่ม 4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท และ 8.โครงการบูเลอวาร์ด ทัสคานี ชะอา-หัวหิน อยู่บริเวณชายทะเลชะอา-หัวหิน บนพื้นที่กว่า 52 ไร่ จำนวน 193 ยูนิต ราคาเริ่ม 6 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะทำรายได้ทั้งปี 10,000 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 8,400 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีรายได้ 4,200 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังรายได้หลักจะมาจากโครงการที่ทยอยเปิด ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี และเป็นการซื้อเพื่ออยู่จริงมากว่าเก็งกำไร พร้อมกันนี้ได้วางงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้อีก 11,00 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2558 โดยจะใช้ปีนี้ 3,000-4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวราบ
ข่าวเด่น