หุ้นทอง
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ชุดใหม่ "TPIPL"


 

 

 

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท “บ.ทีพีไอ โพลีน” ระดับ “BBB+/Stable” แทนที่หุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทชุดเดิม

 

 

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของ บริษัท ทีพีไอแโพลีน จำกัด (มหาชน)ที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” เช่นกัน โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่จะทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 3,000 ล้านบาทที่ประกาศเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 เนื่องจากบริษัทตัดสินใจปรับเพิ่มมูลค่าของหุ้นกู้ออกจำหน่าย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่”

ทั้งนี้ การเพิ่มมูลค่าของหุ้นกู้ไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตเนื่องจากบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ลงทุนในโครงการที่ได้ถูกพิจารณาอยู่ในอันดับเครดิตแล้ว อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของ
บริษัทในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศและการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก LDPE Homopolymer
(LDPE) และ LDPE Copolymer (EVA) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งภาระหนี้ที่ต่ำในปัจจุบันด้วย

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงความเสี่ยงจากต้นทุนราคาถ่านหินที่ผันผวน ประวัติการระดมทุนผ่านตลาดเงินที่ค่อนข้างสั้นของบริษัทหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และภาระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจปูนซีเมนต์เอาไว้ได้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะยังคงรักษาผลประกอบการในธุรกิจเม็ดพลาสติกในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 30% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

 

  

บริษัททีพีไอ โพลีน ก่อตั้งในปี 2530 โดยตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ โดย ณ เดือนสิงหาคม 2556 ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทคิดเป็นประมาณ 56% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทดำเนินธุรกิจ 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ (ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์และคอนกรีต) และธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก (LDPE และ EVA) บริษัทมีรายได้ในปี 2555 อยู่ที่ 2.78 หมื่นล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์คิดเป็น 68% ของรายได้รวม ส่วนรายได้จากธุรกิจเม็ดพลาสติกคิดเป็น 26%

สถานะทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ โดยมีกำลังผลิตที่ 9 ล้านตันต่อปี และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 18% บริษัทมีสายการผลิตปูนซีเมนต์ครบวงจรตั้งแต่การผลิตปูนเม็ด ปูนซีเมนต์ ปูนสำเร็จรูป คอนกรีต และไฟเบอร์ซีเมนต์ โดยความต่อเนื่องในสายการผลิตปูนซีเมนต์ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดและมีโครงสร้างต้นทุนที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ อย่างไรก็ตาม ราคาถ่านหินที่ผันผวนถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์

บริษัทเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก LDPE และ EVA รายใหญ่ของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตที่ 158,000 ตันต่อปี ในปี 2555 บริษัทมีสัดส่วนทางการตลาดในประเทศสำหรับผลิตภัณฑ์ LDPE อยู่ที่ 20% และปัจจุบันเป็นผู้ผลิต EVA รายเดียวในประเทศ บริษัทเน้นการผลิต EVA เพื่อส่งออกเป็นหลัก ธุรกิจเม็ดพลาสติกของบริษัทมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทซื้อวัตถุดิบ Ethylene จากผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ตลอดจนความท้าทายจากสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และการแข่งขันจากผู้ผลิตทั่วโลกด้วยเช่นกัน บริษัทไม่มีข้อจำกัดในการซื้อ Ethylene จากผู้จำหน่ายรายปัจจุบันเพียงรายเดียว แต่ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพิงผู้จำหน่ายเพียงรายเดียวสะท้อนให้เห็นถึงประวัติการมีแหล่งซื้อ Ethylene ที่น้อยเกินไป อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงประโยชน์จากการประกอบธุรกิจที่หลากหลาย โดยรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อาจผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจะได้รับการถ่วงดุลโดยรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ EVA

 

 

อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดบางส่วนจากประวัติการระดมทุนผ่านตลาดเงินที่ค่อนข้างสั้นหลังจากที่บริษัทออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้ การผิดนัดชำระหนี้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในอดีตเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างบริษัททั้งกับสถาบันการเงินไทยและต่างประเทศมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับประมาณการกรณีฐานของทริสเรทติ้ง บริษัทมีรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 อยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้)ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 อยู่ที่ 11.1% เปรียบเทียบกับ 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการขั้นต่ำที่ระดับ 2.5 พันล้านบาทต่อปี

ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ประมาณการของทริสเรทติ้งในกรณีฐานคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ 1%-4% ในปี 2556-2557 และที่ 12%-15% ในปี 2558-2559 โดยอัตราการเติบโตในปี 2556-2557 สะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาที่อาจจะยังคงมีอยู่ในธุรกิจเม็ดพลาสติก ส่วนการปรับเพิ่มขึ้นของการเติบโตในปี 2558 สะท้อนถึงแหล่งรายได้ใหม่จากโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ตลอดจนผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ และธุรกิจโรงไฟฟ้า อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 9% จากราคาปูนซีเมนต์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าและการฟื้นตัวของราคาเม็ดพลาสติกในช่วง 2 ปีข้างหน้า

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 12.8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับระดับอันดับเครดิตของบริษัท อย่างไรก็ตาม การประเมินอันดับเครดิตของบริษัทยังพิจารณารวมถึงประมาณการภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้วย โดยเฉพาะโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทในปี 2556-2558 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของ

บริษัทคาดว่าจะปรับตัวขึ้นสูงสุดในปี 2558 ที่ระดับประมาณ 30% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าโครงการขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์เป็นโครงการที่มีความเสี่ยงด้านการตลาดต่อบริษัทในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถสร้างเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับไม่ต่ำกว่า 2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า หนี้ระยะยาวของบริษัทที่จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2556-2558 อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี อัตราส่วนสภาพคล่องของบริษัทคาดว่าจะอ่อนแอลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ในระดับเกินกว่า 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่า

บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TPIPL165A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2562   BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable


LastUpdate 14/12/2556 02:49:07 โดย : Admin
16-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 16, 2024, 10:55 am