แฟชั่น-เดินทาง-กินดื่ม-เที่ยว
"King Of The Sands" กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ.....by คุณนกฮูก


  

 

เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ถ้าอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหลายสิ่งหลายอย่างอาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่ดีอยู่กลายเป็นแย่ หรืออาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่แย่อยู่แล้วให้แย่ไปอีก คงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ซึ่งบางอย่างก็ส่งผลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเมื่อไปพาดพิงอีกฝ่ายในทางไม่ดี (ไม่ว่าเรื่องที่พาดพิงจะจริงหรือไม่ก็ตาม) อย่างเช่นกรณีของภาพยนตร์เรื่อง "King Of The Sands" ที่ส่งผลกระทบระหว่างซีเรียกับซาอุดิอาระเบีย

ภาพยนตร์เรื่อง King Of The Sands เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ ดามัสกัส โอเปรา เฮาส์ ซึ่งการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นการท้าทายซาอุดิอาระเบียมากพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ทางราชวงศ์ของซาอุดิอาระเบียได้ออกมาร้องขอให้อย่าฉายภาพยนตร์เรื่องนี้

King Of TheSands กำกับโดย "นาจดาต อันซูร์" ซึ่งเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของซีเรีย และเขาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน ประธานาธิบดี บาชาร์ อัสซาด

ด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายครั้งแรกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่เป็นการฉายแบบส่วนตัวเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา เป็นเหมือนการตอกกลับซาอุดิอาระเบียที่ถูกกล่าวหาสนับสนุนผู้คิดล้มล้างประธานาธิบดีอัสซาด ในการชุมนุมประท้วงที่ซีเรีย

เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าวถึงการก่อตั้งประเทศซาอุดิอาระเบียเมื่อปี 1932 โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ กษัตริย์อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด เป็นผู้นำที่โหดร้ายไร้ความปราณี ไม่ว่าจะเป็นการตัดมือขโมยการขว้างหินใส่คนที่มีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานจนตาย และตัวของพระองค์เองก็มีมเหสีมากมาย โดยเฉพาะเด็กสาวๆที่มีอายุน้อยกว่าพระองค์มาก ซึ่งผู้ที่รับบทกษัตริย์อับดุลอาซิซ รับบทโดยนักแสดงชาวอิตาลีสองคน คือ ฟาบิโอ เทสที และ มาร์โก ฟอสชี

ด้วยเนื้อหาของภาพยนตร์ดังที่กล่าวมา แน่นอนว่าค่อนข้างกระทบความรู้สึกชาวซาอุดิอาระเบียมากพอสมควร รวมทั้งราชวงศ์ของซาอุดิอาระเบีย เจ้าชายทาลาล บิน อับดุล อาซิซ ซึ่งเป็นพระอนุชาของกษัตริย์อับดุลลาห์ ทรงโพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ว่า พระองค์ร้องขอผ่านทางเพื่อนประธานาธิบดีอัสซาดให้ซีเรียแบนภาพยนตร์เรื่องนี้

"ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เพื่อให้เกียรติแก่กษัตริย์อับดุลอาซิซ เราไม่สามารถจะปล่อยให้ภาพยนตร์ที่ไม่ประสบความสำเร็จเรื่องนี้มาทำลายภาพลักษณ์ที่ดีทางประวัติศาสตร์ของประเทศอย่างเรื่องราวของกษัตริย์อับดุล อาซิซ"

ด้วยเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน ทำให้ผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้อาจรู้สึกแย่ต่อซาอุดิอาระเบียโดยเฉพาะประเทศในถบอาหรับ ซึ่งที่ผ่านมาซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่มีอิทธิพลและสำคัญมากๆ เพราะเป็นที่ตั้งของเมืองอันศักดิ์สิทธิ์มากในศาสนาอิสลามทั้งมักกะฮ์และมะดีนะฮ์

"ฟาเดีย คิวาน" อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเซนต์โจเซฟ ในกรุงเบรุต กล่าวว่า "การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางซาอุดิอาระเบียถือว่าซีเรียทำลายภาพลักษณ์ของซาอุดิอาระเบีย และยากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจะกลับคืนมาดีเหมือนเดิม" 

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของซีเรียกับซาอุดิอาระเบียร้าวฉานมานาน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2005 หลังจาก มาฟิก ฮารีรี อดีตนายกรัฐมนตรีของเลบานอน ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดประเทศหนึ่งของซาอุดิอาระเบียถูกลอบสังหาร ซึ่งแม้ซีเรียจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ แต่ไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่

นอกจากนั้น เมื่อปี 2006 หลังสงครามกับอิสราเอล ทางอัซซาดเรียกกษัตริย์อับดุลลาห์ว่าเป็นคนไม่จริงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก แม้ต่อมาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจะดีขึ้น แต่ก็แย่ลงอีกตั้งแต่ปี 2011 เมื่อกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียวิจารณ์อัซซาดว่า สั่งทหารเข่นฆ่าประชาชนที่ประท้วง ทำให้ในสายตารัฐบาลของซีเรียแล้ว ซาอุดิอาระเบียคือผู้สนับสนุนการล้มล้างรัฐบาล

สถานีโทรทัศน์ อัลอาราบียา ของซาอุดิอาระเบีย มักถูกอ้างในสื่อมวลชนของรัฐบาลซีเรียว่าเป็นโทรทัศน์ที่สนับสนุนการนองเลือดและวิจารณ์ซาอุดิอาระเบียว่า เป็นผู้ที่นำพาการก่อการร้ายมาสู่ซีเรียและเป็นสนับสนุนอาวุธแก่ผู้ประท้วงรัฐบาล เมื่อเดือนที่แล้วสื่อมวลชนของซีเรียก็รายงานคำพูดของอาซซาดว่า ซาอุดิอาระเบียได้ขนคนหลายหมื่นคนให้เป็นกองกำลังติดอาวุธ โดยจ่ายเงินให้เดือนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ

"อาลี ไฮดาร์" รัฐมนตรีคนหนึ่งของซีเรีย กล่าวว่า โดยส่วนตัวเขาสนับสนุนการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบียจะดีขึ้นต่อเมื่อทางการซาอุดิอาระเบียเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สนับสนุนผู้ก่อการร้ายมาตลอด และขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย 

อันซูร์กล่าวว่า เขาถูกขู่ฆ่าเพราะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่หวั่นและยอมรับว่าเขาสร้างภาพยยนตร์เรื่องนี้ได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่เชื่อในผลงานของเขา โดยเรื่องนี้ได้ไปถ่ายทำในประเทศแถบอาหรับหลายแห่ง ในขณะที่นักแสดงก็ใช้นักแสดงจากยุโรป ตุรกี และประเทศอาหรับบางประเทศ

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่งานของอันซูร์เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ก่อนหน้านี้ ซีรีส์เรื่อง "Under theHomeland Sky" ที่ออกอากาศช่วงเดือนรอมมาฎอนก็เป็นที่กล่าวขวัญกันมาก

"King Of The Sands" เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วซีเรียในสัปดาห์นี้ และได้รับการโปรโมทอย่างมากในสถานีโทรทัศน์ของซีเรีย

งานนี้คงต้องดูว่า สุดท้ายเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องวุ่นวายหรือไม่ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะรุนแรงขนาดนั้น ส่วนคนไทยที่อยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คงต้องลุ้นเอา แต่ยากเหลือเกินที่จะได้ชมในโรงภาพยนตร์


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 ธ.ค. 2556 เวลา : 11:05:21
26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 7:07 pm