อสังหาริมทรัพย์
"เอสซีจี" เบนเข็มส่งออกซีเมนต์ไปอาเซียน หลังตลาดในประเทศทรุดจากปัญหาการเมือง


 

 

"เอสซีจี" โอดปัญหาการเมืองกระทบยอดขายซีเมนต์ในประเทศ เร่งปรับตัวหาตลาดส่งออกไปอาเซียน เผยยอดขายซีเมนต์ในประเทศพลาดเป้าเหลือแค่ 6% หวั่นปีนี้ยอดขายอาจไม่โต เหตุโครงการลงทุนภาครัฐชะลอยาว 


 

 

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อเตรียมรับมือกับสภาพเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองในปัจจุบันที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์โดยตรง บริษัทจึงต้องปรับแผนการตลาดใหม่ ด้วยการเน้นตลาดส่งออกต่างประเทศ มุ่งเน้นกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น จากเดิมที่จะให้น้ำหนักตลาดในประเทศมากกว่านี้ 

ก่อนหน้านี้ บริษัทวางแผนจะลดปริมาณการส่งออกปูนซีเมนต์ลง เนื่องจากตลาดในประเทศมีแนวโน้มดี คาดว่าจะมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น แต่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ ดังนั้นบริษัทจึงปรับตัวด้วยการหันไปเน้นส่งออกต่างประเทศมากขึ้น 

 

 

นายกานต์ กล่าวว่า จากเดิมตั้งเป้าว่า ปีนี้จะลดการส่งออกปูนซีเมนต์ลงเหลือ 3 ล้านตันต่อปี แต่หลังจากสถานการณ์ภายในประเทศเปลี่ยนไป ทำให้บริษัทจะส่งออกปูนซีเมนต์ไว้ที่ 4 ล้านตันต่อปีเท่ากับปีก่อน อีกทั้งจะหาช่องทางในการส่งออกในกลุ่มสินค้าประเภทอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเคมิคอลส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มดีมาก ทั้งจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นและมีมาร์จิ้นมาก

ทั้งนี้ตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นเพียง 6% และเดิมคาดว่า ปีนี้จะเติบโต 9% แต่จากวิกฤตการเมืองทำให้ต้องปรับอัตราเติบโตเหลือ 7% และอาจจะลดลงอีกเหลือเติบโตไม่ถึง 5% หรืออาจจะไม่มีการเติบโตก็เป็นได้ เนื่องจากการก่อสร้างโครงการจากภาครัฐจะไม่เกิดแน่นอน จากปีก่อนมีการเติบโตแค่ 2-3% เท่านั้น 

 

 

โดยปีที่ผ่านมา การใช้ปูนซีเมนต์ในภาคที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 53%  เติบโตขึ้น 5-6%  งานก่อสร้างภาครัฐสัดส่วนอยู่ที่ 30% และกลุ่มธุรกิจการค้า เช่น ศูนย์การค้า โรงงาน คลังสินค้า มีสัดส่วน 17% ซึ่งเติบโตสูงถึง 20% ขณะที่กำลังการผลิตรวมปูนซีเมนต์รวมทั้งตลาดปีที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 50 ล้านตัน บริโภคในประเทศประมาณ 37-38 ล้านตัน ขณะที่ราคาปูนซีเมนต์ขยับขึ้นได้น้อยและถือว่ามีราคาต่ำสุดแล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

นอกจากนี้จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ กลับส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนพลังงานปรับเพิ่มสูงเป็น 7-8% หรืออาจจะถึง 10% ขณะที่กำไรที่จะได้จากภาคการส่งออกกลับลดลง 

สำหรับแผนการลงทุนในรอบ 5 ปี นับจากปี 2557-2561 นั้นจะใช้เงินลงทุนรวมจำนวน 250,000 ล้านบาท โดยในปีนี้จะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท และจะเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าไปซื้อกิจการในต่างประเทศด้วย ซึ่งมีโอกาสการเข้าซื้อกิจการทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย ขณะที่ในพม่าและกัมพูชาในเวลานี้ยังไม่มีกิจการที่จะเข้าไปซื้อ มีแต่อาจจะไปลงทุนและส่งออกเข้าไปเพิ่ม  และตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านบาท

ด้านผลประกอบการปี 2556 ที่ผ่านมา เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 434,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของทุกธุรกิจ และมีกำไร 36,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 ได้จัดเตรียมงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) กว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสรรค์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ( High Value-Added-HVA) ซึ่งในปีที่ผ่านมา ใช้งบประมาณ R&D 2,068 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่งผลให้สินค้าในกลุ่ม HVA มีสัดส่วนคิดเป็น 35% ของยอดขายรวมปี 2556 ขณะที่สินค้า SCG eco value เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มียอดขาย 26% ของยอดขายรวม

 


LastUpdate 17/04/2557 22:12:10 โดย : Admin
08-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 8, 2024, 10:30 am