ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ชี้ตลาดคอนโดมิเนียมลดความร้อนแรง เหตุบางทำเลส่อเกิดปัญหาโอเวอร์ ซัพพลาย ขณะราคาที่ดินปรับสูงขึ้น ส่งผลให้สร้างคอนโดมิเนียมราคาถูกไม่ได้ 

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ มีแนวโน้มที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะชะลอการเปิดโครงการใหม่ลง โดยคาดว่า ปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 70,000-75,000 ยูนิต จากปี 2556 ที่เปิดตัวถึง 85,200 ยูนิต ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมามีสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก จนบางพื้นที่มีสินค้ามากกว่าความต้องการซื้อ (ซัพพลายมากกว่าดีมานด์) ส่งผลให้มีการแข่งขันสูงขึ้น รวมทั้งราคาที่ดินก็ปรับสูงขึ้นมากจนไม่สามารถพัฒนาห้องชุดในราคาไม่แพงนักได้ 

ด้านแนวโน้มการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ไป ในตลาดระดับกลางถึงล่างนั้น จะปรับขนาดพื้นที่ให้เล็กลงเหลือไม่เกิน 25-30 ตารางเมตรเพิ่มมากขึ้น เพราะกำลังซื้อลดลง ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ จึงต้องใช้วิธีการลดขนาดพื้นที่ใช้สอยลง เพื่อให้ตั้งราคาขายไม่สูงมากนัก ทั้งนี้ เห็นได้จากโครงการในปี 56 ทั้งหมด ซึ่งมากกว่า 50% เป็นห้องขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร และก่อสร้างโครงการขนาดกลางจำนวน 80-400 ยูนิตมากที่สุด 

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจะหันไปพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น เพราะยังมีความต้องการที่แท้จริง และส่วนใหญ่ไม่มีการเก็งกำไร โดยปี2556 มีการก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 45,000 ยูนิต คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ยกเว้นหากสถานการณ์ทางการเมืองมีความวุ่นวายมากขึ้นไปกว่านี้ ก็อาจจะชะลอการก่อสร้างออกไปอีก หรืออย่างเร็ว ผู้ประกอบการจะเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่กลางปีไปแล้ว และคาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นทาวน์เฮาส์มากขึ้น เพราะตลาดสามารถรองรับราคาได้ดีกว่าบ้านเดี่ยว ขณะที่ราคาบ้านนั้น คาดว่าทั้งปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 5% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง 

อย่างไรก็ตาม การที่โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลต้องหยุดชะงักไปนั้น ก็ทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจการก่อสร้างลดน้อยลง จากเดิมที่คาดว่าจะมีปัญหาด้านนี้รุนแรงในปีนี้ โดยเฉพาะมีผลกระทบทำให้ขาดแคลนผู้รับเหมา หรือมีปัญหางานก่อสร้างล่าช้า จนส่งมอบไม่ทันตามที่กำหนดไว้ 

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ เข้าสู่ภาวะชะลอตัว เพราะนอกจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นแรงกดดันแล้ว ยังมีปัจจัยเฉพาะของธุรกิจ เช่น ต้นทุนการดำเนินธุรกิจยังสูง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แข่งขันที่รุนแรง และสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ทั้งผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ซื้อที่อยู่อาศัย 

ส่วนนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมทั้งประเทศมีมูลค่า 650,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% แต่ทั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะเติบโตได้มากกว่านี้ หากไม่มีปัญหาทางการเมือง เพราะในส่วนของต่างจังหวัดนั้น เติบโตได้จากการเตรียมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เมืองที่มีการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเป็นตัวผลักดัน