อสังหาริมทรัพย์
"คิวเฮ้าส์" หวั่นลูกค้าทิ้งดาวน์ สั่งเพิ่มเงินดาวน์ 15% คุมกำเนิดยอดกู้ไม่ผ่าน


 

"คิวเฮ้าส์" สั่งเพิ่มเงินดาวน์ แก้ปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน เผย 4 เดือนแรก ยอดขายพุ่งกว่า 5,500 ล้าน เล็งเปิดโครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,000 ล้านบาท

 

 

นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือคิวเฮ้าส์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มวงเงินดาวน์คอนโดมิเนียมเพิ่มเป็นขั้นต่ำ 15% ของราคาขายแล้ว รวมทั้งคัดกรองลูกค้าที่มีแนวโน้มจะกู้สินเชื่อกับสถาบันการเงินก่อนที่จะส่งเรื่องขอกู้เงิน โดยจะโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างที่จะซื้อทาวน์เฮาส์ เพื่อลดปัญหาลูกค้าทิ้งดาวน์ หรือกู้สถาบันการเงินไม่ผ่าน ซึ่งจะทำให้อัตราการกู้ไม่ผ่านจากเดิมที่สูงถึง 15% ลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นด้วย โดยช่วง 4 เดือนเศษที่ผ่านมา มียอดขายกว่า 5,500 ล้านบาท และคาดว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ จะรับรู้รายได้ 4,104 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดที่น่าพอใจ

"ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ยังถือว่าเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลงไปบ้าง แต่บริษัทยังสามารถทำรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้"

 
 
 
นายรัตน์ กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทเพิ่มวงเงินดาวน์คอนโดมิเนียมนั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ลูกค้าที่จะซื้อนั้น มีความสามารถผ่อนชำระ ไม่ทิ้งดาวน์ และสถาบันการเงินจะอนุมัติสินเชื่อให้ ทั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่จะมีอาชีพอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะมีความสามารถผ่อนชำระแค่ไหน และจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้มีลูกค้าทิ้งดาวน์สูงขึ้นมาก บริษัทจึงต้องปรับเพิ่มความเข้มงวดการวางเงินดาวน์มากขึ้น เพื่อให้มีการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ได้ อีกทั้งไม่ได้เป็นการหลอกตัวเองว่ามียอดขายสูง แต่ยอดรับรู้รายได้ต่ำ แต่ในส่วนของบ้านเดี่ยวนั้นไม่มีปัญหาใด เพราะเป็นตลาดระดับกลางถึงบน

สำหรับปัญหาความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อนั้น กระทบต่อความเชื่อมั่น และการตัดสินใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัย และจะทำให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ติดลบ 5-10% หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตัวเลขทางการเงินของหลายบริษัทดีขึ้น แต่หลายบริษัทก็แย่ลง ถ้าปัญหาทางการเมืองไม่จบภายในปีนี้ อาจจะเกิดปัญหาต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่า ปัญหาการเมืองจะยุติได้ และยิ่งจบเร็วเท่าใด ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วเท่านั้น

ด้านนโยบายการลงทุนนั้น บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 2 ถึงสิ้นปี จำนวน 23 โครงการ คิดเป็น มูลค่ารวม 21,131 ล้านบาท โดยไตรมาส 2 จะเปิดตัว 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท ไตรมาส 3 เปิดตัว 12 โครงการ รวมมูลค่า 8,700 ล้านบาท และไตรมาส 4 เปิดตัวอีก 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ “ควอลิตี้ เฮ้าส์” 3 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมที่จังหวัดเชียงใหม่ และคอนโดที่จังหวัดเชียงรายและเพชรบุรี

 
 
 
โครงการภายใต้แบรนด์ “คาซ่า" 11 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 4 โครงการที่กรุงเทพฯ ทาวน์โฮม 3 โครงการที่กรุงเทพฯ และ 2 โครงการที่ต่างจังหวัด และคอนโดมิเนียม 2 โครงการที่จังหวัดเชียงใหม่และระยอง,โครงการภายใต้แบรนด์ “เดอะทรัสต์” 7 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 โครงการที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด ทาวน์โฮม 1 โครงการที่กรุงเทพฯ และ 2 โครงการที่ต่างจังหวัด และคอนโดมิเนียม 2 โครงการที่กรุงเทพฯและชลบุรี และโครงการภายใต้แบรนด์ “กัสโต้” 2 โครงการ เป็นทาวน์โฮมที่กรุงเทพฯ

จากแผนการเปิดตัวโครงการ ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีจะมียอดขายได้ถึง 21,400 ล้านบาท มีรายได้ 19,400 ล้านบาทตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยยังมีงานค้างในมือ (แบล็ค ล็อค) อีก 9,300 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ในปีนี้ 4,800 ล้านบาท และปีหน้าอีก 4,500 ล้านบาท พร้อมทั้งได้เพิ่มงบซื้อที่ดินจากเดิม 4,600 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการปีหน้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา และระยอง และมีแผนออกหุ้นกู้วงเงิน 4,000 พันล้านบาทด้วย
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 พ.ค. 2557 เวลา : 08:51:29
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 12:09 am