แฟชั่น-เดินทาง-กินดื่ม-เที่ยว
31 ปี "ข้าวขาหมูเมืองทอง" ยังอร่อยเหมือนเดิม


 


ใครที่เคยมีโอกาสไปเยือน “เมืองทองธานี” ทางเข้าฝั่งถนนแจ้งวัฒนะในปัจจุบันเชื่อว่า คงต้องสะดุดตากับ 2 ข้างทางที่คลาคล่ำไปด้วยร้านค้าผุดขึ้นมากมาย ผสมผสานการจราจรที่พลุกพล่าน  จนมองไม่เห็นว่า มีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง  ช่างเป็นภาพที่แตกต่างราวหน้ามือเป็นหลังมือกับเมื่อประมาณ 31 ปีก่อน 

เพราะในขณะนั้น หากนั่งรถเข้ามาแล้วจะมองเห็นร้าน “ขาหมูเมืองทอง” โดดเด่นเป็นสง่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยเป็นร้านอาหารแห่งแรกของเมืองทองธานีและยังอยู่ยืนยงมากระทั่งทุกวันนี้ มิหนำซ้ำยังอนุรักษ์มีเพียงสาขาเดียวในเมืองไทย ให้ผู้ที่อยากลิ้มรสข้าวขาหมูแสนอร่อย ต้องมาที่ร้านนี้เจ้าเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ ทีมงาน “เอซีนิวส์” ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน  “ร้านขาหมูเมืองทอง” เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมี คุณปริมาศน์ แซ่อึ้ง หรือ คุณอิม ซึ่งเป็นทายาทรุ่น 2 ของร้านให้การต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้เป็นช่วงเวลาที่แสนยุ่งของบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม คาดว่าน่าจะเกิดจากความเคยชินกับการต้อนรับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเป็นกิจวัตรนั่นเอง ในขณะที่ คุณแม่นงนุช แซ่อึ้ง ผู้กุมบังเหียนร้านรุ่นที่ 1 ยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง ซึ่งท่านก็ยังคงอยู่คอยดูแลรายการอาหารของลูกค้าเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง


31 ปียังอร่อยเหมือนเดิม

ภายหลังทักทายปราศรัยกันกับคุณอิม ที่ต้องวิ่งไปเช็คบิลลูกค้าเป็นระยะ ๆ คุณอิมได้บอกเล่าประวัติความเป็นมาของร้านข้าวขาหมูเก่าแก่ของเธอด้วยความภาคภูมิใจในฐานะเป็นธุรกิจร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อมาจนถึงรุ่นที่คุณอิมดูแลกิจการ แม้ว่า อาชีพ “ค้าขาย” จะเป็นคนละเส้นทางกับที่เธอเคยใฝ่ฝันก็ตาม โดยเธอฝันอยากจะเป็น “นางฟ้า” เป็นแอร์โฮสเตส บนเครื่องบิน

คุณอิมเล่าว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นชาวจีนที่บรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองจีน คุณแม่เดิมมีอาชีพเป็นช่างเสริมสวย ส่วนคุณพ่อขับรถบรรทุกส่งผัก พักอาศัยในแถวเยาวราช  ความเป็นอยู่ของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ค่อนข้างลำบากเพราะมีพี่น้องหลายคน ฝั่งคุณพ่อมีพี่น้องถึง 9 คน  แต่คุณพ่อก็สามารถต่อสู้จนประสบความสำเร็จ มีกิจการข้าวขาหมูเป็นของตัวเองได้


“ด้วยความที่คุณพ่อโปรดปรานข้าวขาหมูเป็นอย่างมาก ถึงขั้นตระเวนชิมไปทุกร้านที่พบเห็น จนมีความคิดที่จะเปิดร้านขายข้าวขาหมูเป็นของตัวเองบ้าง ประกอบกับคุณป้าซึ่งเป็นพี่สาวของคุณพ่อได้เปิดร้านขายข้าวขาหมูอยู่แล้วในเขตหลักสี่  คุณพ่อจึงไปช่วยคุณป้าขายและได้เรียนรู้การทำขาหมูไปด้วย ก่อนจะมาปรับสูตรของคุณป้าที่มีรสชาติหวานนำเสียใหม่ให้เป็นสูตรตามฉบับของตนเอง จนได้สูตรขาหมูที่มีรสชาติกลมกล่อม เค็มหวานและมีไขมันน้อย ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกค้าที่มาชิม”  


หลังจากนั้นตำนาน “ข้าวขาหมูเมืองทอง” จึงได้เริ่มขึ้น เมื่อได้กลายเป็นร้านเจ้าแรกของเมืองทองเปิดร้านครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคม ปี 2527  เป็นที่รู้จักกันดีของบรรดาลูกค้าที่มาซื้อบ้านพักอาศัยหรืออาคารพาณิชย์ในเมืองทองยุคแรก ๆ เพราะในยุคนั้นมีร้านนี้อยู่ร้านเดียว และเป็นที่เห็นกันจนชินตากับภาพ เถ้าแก่เจ้าของร้านหน้าตาดียืนสับขาหมูขายอย่างขยันขันแข็ง ขายตั้งแต่เป็นอาคารพาณิชย์ 1 ห้องจนขยายเป็น  2   ห้องในอีก 2 ปีถัดมา  ก่อนจะวางมือให้ทายาทรุ่นที่ 2 ซึ่งก็คือ คุณอิม  สานต่อกิจการเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีญาติ ๆ อีกหลายคนมาช่วยงาน


“เดิมคุณพ่อทำคนเดียวก่อน มีคุณแม่ที่ขณะนั้นยังทำร้านเสริมสวยอยู่มาช่วยในวันพุธ ก่อนจะมาช่วยเต็มตัวหลังจากขยายร้านเพิ่ม ส่วนลูก ๆ มาช่วยงานในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่เด็ก ๆ  ทำในสิ่งที่พอทำได้ เช่น เสิร์ฟ เก็บเงิน เป็นต้น  โดยเริ่มต้นขายขาหมูจากเพียง 4 ขา ข้าวขาหมูจานละ 10 บาท เนื้อขาหมูเปล่า 15  บาท ข้าวเปล่า 3 บาท และน้ำแข็งฟรี นอกจากนี้ยังขายเมนูอื่น ๆ ด้วย คือ ต้มเลือดหมู ข้าวหมูทอด ก๋วยจั๊บน้ำใส และอีกหลายเมนู” 


เวลานี้ราคาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วตามกาลเวลา โดยข้าวขาหมูสนนราคามาอยู่ที่ 50 บาท เนื้อขาหมูเปล่าเริ่มที่ 100 บาท ข้าวสวย 10 บาท และน้ำแข็ง 3 บาท 


แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือ “รสชาติ” ที่ยัง “อร่อย” เหมือนเดิมเหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ไม่มีการพัฒนาสูตรใหม่ เพราะมั่นใจในรสชาตินี้ว่าช่วยดึงดูด “ลูกค้า”  ให้ติดใจและมาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสายได้ดังเดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ว่าได้ นอกจากนี้ ยังคงมี “สาขาเดียว” เหมือนเดิม และไม่คิดจะขยายเพิ่ม  


เรียกว่า หากใครนึกอยากจะชิมข้าวขาหมูเมืองทองแสนอร่อยเมื่อใด  ต้องมาที่ร้านหน้าเมืองทองธานีที่เดียว เจ้าเดียวเท่านั้นในเมืองไทย ไม่มีสาขาที่ใด ไม่มีแฟรนไชส์  ซึ่งคุณอิมบอกว่า เพราะไม่มีกำลังคนที่จะไปช่วยดูแล รวมถึงเกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมคุณภาพให้เหมือนเดิมได้ จึงเลือกที่จะทำตามกำลังดีกว่า


ความฝันวัยเรียน อยากเป็น “แอร์โฮสเตส” 

คุณอิมเล่าว่า ได้เข้ามาช่วยงานในร้านข้าวขาหมูของครอบครัวมาตั้งแต่เรียนจบระดับปริญญาตรี โดยที่เธอไม่ได้มีโอกาสได้ก้าวเดินตามความฝันของตัวเองเลย ซึ่งความฝันของเธอ คือ อยากจะเป็นนางฟ้า “แอร์โฮสเตส”  หรือไกด์นำเที่ยว หลังจากที่มุ่งมั่นร่ำเรียนภาษาต่างประเทศมาเพื่อเป้าหมายดังกล่าวจนจบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาการท่องเที่ยวและโรงแรม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในช่วงปี 2535 


คุณอิมต้องฝันสลาย เมื่อคุณพ่อไม่ยอมตามใจ เพราะหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แล้วว่าจะให้เธอซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตทำหน้าที่สืบทอดกิจการข้าวขาหมูต่อไป ประกอบกับในขณะนั้นคุณพ่อเริ่มป่วยแล้ว คุณอิมจึงเป็นความหวังเดียวของคุณพ่อ 


“อิมไม่มีโอกาสได้ไปสมัครงานที่ไหนเลย คุณพ่อบอกว่า ไปทำงานที่อื่นได้เงินไม่พอซื้อน้ำหอมหรอก เพราะท่านรู้ว่าลูกสาวเป็นสาวเปรี้ยว รักสวยรักงาม และบังเอิญว่าท่านป่วยพอดี ก็เลยต้องอยู่ช่วยทำงานที่ร้าน  ทำไปก็ร้องไห้ไป ไม่อยากทำ เพราะในสมัยก่อนการค้าขาย เป็นแม่ค้ามีภาพพจน์ไม่ดีด้วย  ขายของเสร็จนั่งหันหน้าเข้าบันไดร้าน บางครั้งมีลูกค้าเป็นทหารมาซื้อ เขายังแซวว่า หน้าตาสวย ๆ ทำไมมายืนสับหมูล่ะ ยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากๆ ”  


ทิ้งความฝัน… สู่เส้นทางที่พ่อขีดให้

อย่างไรก็ตาม คุณอิมเล่าว่า ในราว 2 ปีต่อมาหรือปี 2537 เธอก็ได้มาถึงจุดที่คิดทำงานของครอบครัวอย่างจริงจัง เพราะความสงสารคุณพ่อที่ต้องทำงานหนักและป่วยด้วย  ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คุณพ่อต้องทำงานหนักมานาน  บวกกับการสูบบุหรี่จัด ทำให้มีปัญหาที่ปอด  ต่อมายังป่วยมีโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แทรกอีก ทำให้ต้องรับประทานยามากและส่งผลกระทบต่อกระเพาะตามมา คุณอิมจึงมองว่า ถ้าไม่มีใครทำต่อ ธุรกิจนี้ก็จะล้มไป และครอบครัวก็จะไม่มีเงินหมุนเวียนมาช่วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ 


สำนึก...เส้นทางที่พ่อขีดให้ “ถูกต้อง” 

เมื่อใจมา ดังนั้นที่เคยอารมณ์เสีย ความรู้สึกขัดข้องหมองใจที่ไม่มีโอกาสได้เดินตามฝันที่คิดจะเป็นแอร์โฮสเตส หรือเป็นไกด์ได้หายไป และทำให้คุณอิมหันมาตั้งใจทำงานค้าขายอย่างเต็มใจ


“ตอนนี้ได้รู้แล้วว่า คุณพ่อวางรากฐานไว้อย่างถูกต้อง แม้จะไม่นุ่มนวลด้วยวิธีการก็ตาม คุณพ่อเป็นคนใจเย็นมาก ระหว่างทำงานคุณพ่อจะสอนให้ทุกอย่าง ถ่ายทอดให้ทั้งหมดในการทำขาหมู ว่าจะต้องทอดก่อนนานเท่าไหร่ ต้มนานเท่าไหร่ การทำน้ำแกงต้องทำอย่างไร  ซึ่งในปัจจุบันยังต้องดูแลเรื่องน้ำแกงเป็นหลักด้วย  


นอกจากนี้คุณพ่อยังสอนหลักในการดำเนินชีวิตและการทำมาค้าขายว่า  ให้จำไว้เลยว่า “ลูกค้าเดินเข้ามา  ถือเงินมาให้เรา เราต้องรับ ถ้าไม่มีลูกค้า ก็ไม่มีเรา พร้อมทั้งสอนให้เป็นคนดี ไม่เอาเปรียบใคร และต้องมีความซื่อสัตย์”


คุณอิมเล่าด้วยสีหน้าแววตาจริงจังว่า จากคำสอนของคุณพ่อนี่เอง ทำให้มุมมองเกี่ยวกับการค้าขายเปลี่ยนไป  อาการนั่งหันหน้าเข้าบันไดเพราะอาย ไม่เป็นอีกแล้ว  หันมาน้อมรับและเต็มใจที่จะทำมากขึ้น  ในขณะที่คุณแม่ได้ให้ข้อแนะนำที่ดีไม่แพ้กัน ซึ่งท่านจะสอนให้เป็นคนดี ต้องขยันอดทน เงินทองให้รู้จักใช้จ่าย เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้มีค่า นอกจากนี้ท่านยังเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของความขยัน ขันแข็ง ซึ่งท่านทำงานหนักมากและดูแลทุกอย่าง ทั้งด้านบริการงานขายและคุมบัญชีมากระทั่งปัจจุบัน (พร้อมแซวคุณแม่กึ่งหัวเราะว่า ...นั่งนับเงินทุกวัน)


แรงฮึด “สู้เพื่อพ่อ” นี่เอง ...ทำให้คุณอิมบริหารร้านขาหมูเมืองทองเก่าแก่แห่งนี้อย่างเต็มความสามารถ โดยเปิดขายทุกวัน ตั้งแต่ 6.30 น. ไปจนถึง 15.00 น. ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ลูกค้ามาแล้วต้องผิดหวัง ตามที่คุณพ่อเคยสอนไว้ว่า “หยุดบ่อย เดี๋ยวลูกค้าเซ็ง”  โดยจะหยุดเฉพาะช่วงเทศกาลวันตรุษจีน สารทจีน

 สงกรานต์ และปีใหม่เท่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกน้องกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวในเทศกาลสำคัญๆ นี้ด้วย  

จึงไม่น่าแปลกใจที่กิจการร้านข้าวขาหมูเมืองทองจะมีชื่อเสียงโด่งดังและขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีลูกค้ามาอุดหนุนทุกระดับ เพราะเป็นที่รู้จักกันตั้งแต่คนธรรมดา พ่อค้าแม่ขายทั่วไป จนถึงนักร้อง ดาราภาพยนตร์ เหล่าเซเลบและบุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงสังคม  หรือนักการเมือง จึงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวให้มีความสุขได้  ไม่มีหนี้สิน  (ขณะสัมภาษณ์ คุณอิมยังต้องเดินไปเก็บเงินลูกค้าอยู่ตลอดเวลา)

“ลูกค้ามากันทุกระดับ เพราะมีเพียง 50 บาทก็ทานข้าวขาหมูเมืองทองได้แล้ว เซเลบฯบางครอบครัวมากันตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนถึงรุ่นลูก แม้แต่อดีตรองประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็เคยให้เกียรติมาชิมข้าวขาหมูเหมือนกัน โดยมากับลูกค้าขาประจำของร้าน นอกเหนือจากนี้ยังเคยมีออเดอร์สั่งไปไกลถึงเมืองนอก อย่างจีนและญี่ปุ่นด้วย ซึ่งต้องใช้วิธีแช่แข็งขึ้นเครื่องบินไปเลย”  


ยึดหลัก “พอเพียง” แบ่งเวลาใช้ชีวิต

การทำงานในรุ่นที่ 2 ของคุณอิม แม้จะหนักหนาอย่างไร ก็ไม่ได้ทุ่มเทให้กับทำงานอย่างเดียวเหมือนสมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่  โดยเธอยึดหลักของความ “พอเพียง” ไม่หวังร่ำรวยมากนัก รายได้ที่ได้มา คุณอิมไม่ได้ฟุ่มเฟือย “หามาได้ใช้ส่วนหนึ่ง เก็บส่วนหนึ่ง เก็บไว้รักษาตัวส่วนหนึ่ง”

ขณะเดียวกันเธอยังรู้จักแบ่งเวลาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงานหนัก เพราะกลัวว่าแก่ตัวไปจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ทำให้ไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำหรือได้ทานอาหารจานโปรด หลังจากมีประสบการณ์จากคุณพ่อแล้วจากการตรากตรำทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาหาความสุขใส่ตัว พออายุมากขึ้น โรคภัยจึงถามหาทำให้ไปไหนไม่ไหว อยากไปไหนก็ไม่ได้ไป โดยขณะนี้คุณพ่อคุณอิมอายุได้ 75 ปีแล้ว  

ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่าง  คุณอิมจึงไม่ลังเลที่จะทุ่มเทเวลาอยู่กับครอบครัว หรือพาไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด  หากอยู่บ้านจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ และยังเน้นเรื่องการดูแลตัวเอง ออกกำลังกายให้แข็งแรง ไปเสริมความงามและทำสปาบ้าง เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้ว และยังช่วยรักษารูปลักษณ์ให้ดูดี เป็นที่เจริญตาเจริญใจสมกับเป็นเจ้าของร้านข้าวขาหมูชื่อดังได้ด้วย 


ฝากคนเคยไม่ได้ดังหวัง "มองให้กว้างขึ้น" 

ณ วันนี้กล่าวได้ว่า คุณอิมได้เดินมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว จึงอยากฝากบอกถึง คนที่เคยผิดหวัง ไม่ได้ทำงานดังที่ต้องการ เหมือนกับที่เธอเคยประสบมาก่อนว่า อยากให้มองให้กว้างขึ้น เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น มุมมองจะต่างกันไป  เพราะทุกคนเมื่อเรียนจบมาแล้ว ทุกคนอยากทำงานได้เงิน แต่อาจจะมีวิถีการหาเงินที่แตกต่างกันไปได้


“ส่วนคนที่ต้องการจะทำธุรกิจร้านอาหารเป็นของตนเองนั้น เราจะต้องสามารถทำได้ทุกอย่าง ต้องเป็นให้หมด ทั้งทำเอง เสิร์ฟเอง เก็บเงินเอง ฯลฯ


ขณะเดียวกันยังต้องใช้ความอดทนสูงด้วย เพราะความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรารักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ต้องดูแลเรื่องเงิน  และต้องสามารถควบคุมคุณภาพให้ได้ แม้เวลาผ่านไปกี่ปีลูกค้ามาชิมก็จะต้องมีรสชาติเดิม ทั้งหมดนี้จะช่วยดึงลูกค้าไว้ได้”


แม่รักลูกเสมอ สนับสนุนลูกเป็นคนดี

และในฐานะที่คุณอิมเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จและจัดว่าสวยสะดุดตาคนหนึ่ง  ทาง   “เอซีนิวส์ จึงไม่พลาดที่จะล้วงลึกไปถึงหัวใจของเธอบ้าง ซึ่งทำให้ทราบว่า นอกจากต้องมีบทบาทของลูกที่ดีแล้ว คุณอิมยังมีบทบาทเป็นซิงเกิลมัมของลูกๆ ถึง  3  คน  ลูกสาวคนโต อายุ 14 ปี  อยู่ชั้นม.2  ลูกชายคนที่ 2 อายุ 12 ปี อยู่ชั้น ป.6 และ ลูกสาวคนสุดท้อง อายุ 10 ปี อยู่ชั้น ป.5  แม้จะยุ่งแต่เธอได้ให้เวลาดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี และยังมีมุมมองเรื่องความรักในแง่ดีว่า “ความรักเป็นสิ่งสวยงาม หากได้เจอคนที่ดี และรักเราจริง”

คุณอิมให้การดูแลและอบรมลูกๆ เป็นอย่างดี ทำในสิ่งที่ไม่ต่างไปจากที่คุณแม่เคยสั่งสอนเธอมา นั่นคือ  ขอให้ลูกๆ เป็นคนดี  ซึ่งผู้เป็นแม่สามารถยอมรับลูกได้หมด เพียงแต่ขอให้ลูกเป็นคนดีเท่านั้น นอกจากนี้ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  ไม่เห็นแก่ตัว 


แม่อดไม่เป็นไร ขอให้ลูกได้กินดีอยู่ดี

ส่วนคุณแม่ นงนุช  วัย 65 ปี ที่มาร่วมสนทนาด้วยในตอนท้ายหลังเก็บร้านแล้ว เล่าให้ฟังว่า บรรพบุรุษคุณพ่อและคุณแม่มาจากเมืองจีนเหมือนกัน และเคยอยู่แถวเยาวราชกันมาก่อน  ปัจจุบันยังคงไปแวะไปอยู่เสมอเดือนละ 3-4 ครั้งเพื่อไปซื้อเครื่องยาจีนมาต้มขาหมู รวมถึงอุปกรณ์สำหรับค้าขายในช่วงเทศกาลบะจ่างและเทศกาลกินเจ

คุณแม่เพิ่งมาช่วยคุณพ่อขายข้าวขาหมูเต็มตัว หลังจากที่เปิดขายมาได้ราว10 ปีแล้ว เพราะคุณพ่อขายดี และงานหนักมากขึ้น  แม้ทุกวันนี้คุณพ่อหยุดพักไปแล้วเนื่องจากป่วย แต่คุณแม่ยังอยู่ช่วยคุณอิมดูแลงานขายภายในร้านตัวเป็นเกลียวอยู่เหมือนเดิม   


“ทำไปก็เพื่อเขา เพราะเขาจะต้องดูแลต่อไป กว่าจะมีวันนี้เคยยากลำบากมาก่อน แต่แม่ก็ดูแลลู ๆ อย่างดี ตามใจลูกทุกอย่าง ตัวเองอดไม่เป็นไร ของให้ลูกๆ ได้ทานดีๆ” 


เพราะฉะนั้น ในโอกาสวันแม่แห่งชาติที่จะมาถึงนี้ จึงอยากฝากให้เด็กๆ รุ่นหลังๆ ให้ดูแลพ่อ แม่ เพราะไม่มีอะไรจะเท่าพ่อแม่ ต้องบูชา อย่างแม่ของแม่เอง (คุณยายของคุณอิม) ก็เป็นผู้หญิงเก่ง ทรหด ขยันทำงานมาก ท่านสู้ยิบตาเพื่อให้เงินมาเลี้ยงดูลูกๆ”


หลังเสร็จสิ้นการสนทนา ทีมงาน “เอซีนิวส์” ก็ได้ลิ้มลองข้าวขาหมูร้านเก่าแก่กัน ซึ่งต้องขอยกนิ้วให้ว่า “อร่อย” จริง ๆ รสชาติยังคงความอร่อยกลมกล่อมเหมือนเดิม สมกับความเหนื่อยยากอุตสาหะของเจ้าของร้านทั้งสองรุ่น ที่มุ่งสร้างสรรค์ความอร่อยเพื่อลูกค้าจริงๆ 


มาชิม “ร้านข้าวขาหมูเมืองทอง” แล้ว จะรู้สึกได้ทันทีว่า “คุณ ลูกค้า.. คุณคือ คนสำคัญ..เสมอ…” 





 

 


LastUpdate 09/08/2557 01:12:34 โดย : Admin
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 5:52 am