อนันดาฯยึด 7 สถานีรถไฟฟ้า ลุยคอนโดมิเนียม มูลค่า 14,500 ล้านบาท ดันยอดขายทะลุเป้า 11,500 ล้านบาท เล็งออกหุ้นกู้ 2,300 ล้านบาท เสริมสภาพคล่อง ตุนที่ดินผุดโครงการปีหน้า
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมบนทำเลที่มีศักยภาพสูง พร้อมกัน 4 โครงการ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า 7 สถานี บน 4 ทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง มูลค่ารวมกว่า 14,500 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ไอดีโอ” และ “แอชตัน” ประกอบด้วย
1.โครงการแอชตัน อโศก คอนโดมิเนียมระดับลักส์ชัวรี่ สูง 50 ชั้น จำนวน 783 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,358 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท ตั้งอยู่ใจกลางสี่แยกอโศก มีพื้นที่ติดกับสยามสมาคม ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล ทเวนตี้วันห่างจากสถานีรถไฟฟ้า MRT สุขุมวิท 20 เมตร และจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อโศก 230 เมตร
2.โครงการไอดีโอ คิว สยาม – ราชเทวี สูง 36 ชั้น จำนวน 550 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,745 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5.2 ล้านบาท ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสราชเทวี 390 เมตร และจากสถานี MRT สายสีส้ม เพียง 50 เมตร
3.โครงการไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสท์เกต สูง 30 ชั้น จำนวน 844 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,617 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบางนา เพียง 150 เมตร
4. โครงการไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง อินเตอร์เชนจ์ สูง 30 ชั้น จำนวน 559 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,827 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบางซ่อนสายสีม่วง เพียง 11 เมตร และห่างจากสถานีบางซ่อนสายสีแดง (เพียง 1 สถานี ถึงบางซื่อ แกรนด์สเตชั่น และสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าถึง 5 สาย คือ สายสีม่วง สีแดง สีแดงอ่อน สีน้ำเงิน และ Airport Rail Link )
โดยโครงการแอชตัน อโศก และ โครงการไอดีโอ คิว สยาม – ราชเทวี เป็นความร่วมมือภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง เรสซิเด้นท์เชียล จำกัด มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าทั้ง 2 โครงการจะสร้างความสนใจครั้งใหญ่ให้คนเมืองได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการแอชตัน อโศก ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของกรุงเทพฯ อีกครั้งแอชตันโครงการแรกที่ตั้งอยู่สุขุมวิท 38 ยังได้รับการการันตีความเพียบพร้อมด้วยรางวัลระดับโลก คือ Asia pacific property award 2013 และ MIPIM Asia 2013 Property Awards อีกด้วย
ทั้งนี้ จากการเปิดตัว 4 โครงการใหม่ จะทำให้ยอดขายในปีนี้จะเกินเป้าหมายที่ 11,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมียอดขาย 40% ของมูลค่าโครงการ 14,500 ล้านบาท หรือมียอดขายเข้ามาประมาณ 6,000 ล้านบาท ขณะที่ 8 เดือนของปีนี้มียอดขายกว่า 5,200 ล้านบาท
“ ที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก สามารถสร้างรายได้ และยอดขายที่ดีเกินกว่าเป้าที่วางไว้ และสามารถดำเนินงานตามแผนงานและเป้าหมายที่ตั้งไว้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน นั่นคือ สามารถเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ” นายชานนท์ กล่าว
โดยทั้ง 4 โครงการจะพร้อมเปิด Pre-Sale อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 – 19 ตุลาคม 2557 ณ. แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1ศูนย์การค้าสยามพารากอน
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะทำโครงการร่วมกับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง เรสซิเดนท์เชียล จำกัด ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา และยังไม่ได้ข้อสรุป
นายชานนท์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 17,500 ล้านบาท จะรับรู้ในปีนี้ 3,628 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้จนถึงปี 2559 และบริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้ที่ 9,070 ล้านบาทซึ่งในครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 4,310 ล้านบาท และมองแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้น เป็นผลจากกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้บริโภคที่เริ่มกลับเข้ามา
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมออกหุ้นกู้อีก 2,300 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปีนี้ อันดับเรตติ้ง BBB- อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งจะออกเพื่อไปชำระหนี้เดิม ซื้อที่ดิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ คาดว่าจะเริ่มเปิดขายต้นเดือนตุลาคมนี้
ด้าน นายทาเคชิ ซูซูกิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง เรสซิเดนท์เชียล จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขายและกำไรสูงสุด มีมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 1 ล้านล้านบาท กล่าวว่า ในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองบริษัทได้ร่วมวางแผนและดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือทั้งโครงการไอดีโอ คิว จุฬา-สามย่าน จนประสบความสำเร็จอย่างสูง
ทั้งนี้ การก่อสร้าง 2 โครงการใหม่ มิตซุยฯจะถ่ายทอดนวัตกรรมการก่อสร้างรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า การบริหารและควบคุมคุณภาพโครงการ (TQPM) ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการและควบคุมคุณภาพโดยรวมของการพัฒนาคอนโดมิเนียมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ทั้งยังช่วยให้การพัฒนาโครงการมีคุณภาพสูง และช่วยในการปรับปรุงการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพอีกด้วย
_re.jpg)
ข่าวเด่น