อสังหาริมทรัพย์
"โฮมโปร" จับมือ "เอสพีซีจี" ผลิตแผงโซลาร์รู๊ฟ


 

"โฮมโปร" ฉวยจังหวะรัฐหนุนประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง จับมือ "เอสพีซีจี" พัฒนาโซลาร์รู๊ฟ ติดตั้งบนหลังคาบ้าน หวังช่วยชาติประหยัดการใช้พลังงาน


 
 
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมพัฒนาธุรกิจกับบริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) คือแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์ รู๊ฟ) และนำเข้ามาจำหน่ายในโฮมโปรทุกสาขา มี 3 ขนาด ตั้งแต่กำลังผลิต 2.75-4.5 กิโลวัตต์ ราคา 270,000-400,000 บาทขึ้นไป

โดยตั้งเป้ายอดขายภายใน 1 ปีข้างหน้า จะมียอดขาย 1,000 ชุด หรือทำให้มีรายได้เข้ามา 300 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และอนาคตอันใกล้นี้หากรัฐบาลรับซื้อไฟจากประชาชนทั่วไป ผู้ที่ติดตั้งโซลาร์รู๊ฟก่อน ก็ได้เปรียบ โดยประเมินว่าการติดตั้งในราคาดังกล่าวจะคืนทุนภายใน 8 ปี แต่จะประหยัดค่าไฟได้ 910,000 บาทถึง 1.5 ล้านบาท
 

 
 
 
ปีนี้บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนที่ทำได้ 42,830 ล้านบาท โดยมองว่าขณะนี้กำลังซื้อฟื้นตัวแล้วในเขตกทม.และปริมณฑล และหัวเมืองหลัก ยกเว้นเฉพาะหัวเมืองรอง ที่มีธุรกิจการเกษตรเป็นหลัก เพราะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แต่ยังมั่นใจว่าโดยภาพรวมทั้งปีแล้วจะดีขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มลงทุนแล้ว ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทก็เดินหน้าเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จะเปิดให้ครบ 71 แห่ง และปีหน้าจะเปิดอีก 13 แห่ง มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาทโดยในจำนวนดังกล่าว เป็นต่างประเทศ 1 แห่ง คือ ในกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

“เราคงรายได้ปีนี้ไว้ที่ 15% แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จะทำรายได้ได้เติบโตกว่า 21% ก็ตาม ซึ่งมองว่ากำลังซื้อเริ่มกลับมาทั้งตลาดใน กทม.และตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด นอกจากนี้ ปีหน้าบริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ 15% โดยรายได้หลักจะมาจากสาขาเดิม และการขยายสาขา และลูกค้าปัจจุบันของบริษัทเป็นลูกค้าที่ปรับปรุงบ้านเก่ากว่า 80% และลูกค้าที่สร้างใหม่ 20%"

 
 
 
ด้าน น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี กล่าวว่า บริษัทจะเริ่มลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น 2 โครงการ ในต้นปี 2558 ใช้งบลงทุน 1,000-1,500 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น 10% กับพันธมิตร จากมูลค่าลงทุนรวมกว่า 8,000 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 150 เมกะวัตต์ 

ขณะเดียวกัน ยังได้ร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ก่อสร้างโรงงานประกอบแผงโซลาร์ในไทย โดยใช้งบ 100 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 1,000 ล้านบาท โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 10% ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะผลิตได้ 1 เมกะวัตต์ต่อปี และเพิ่มกำลังการผลิตได้สูงสุด 5 เมกะวัตต์ 

การร่วมมือกันครั้งนี้ เนื่องจากเอสพีซีจีและโฮมโปรตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมและวิกฤตการณ์ด้านพลังงานของชาติในอนาคต จึงได้จับมือกันเพื่อพัฒนาธุรกิจ Solar Roof หลังจากที่กระทรวงพลังงานได้วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มจะประสบกับปัญหาการขาดแคลนพลังงานอย่างรุนแรงมาก ในช่วงเวลา 7 – 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดว่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยอาจจะหมดไป ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศซึ่งมีราคาสูงกว่าก๊าซที่ผลิตได้เองภายในประเทศกว่าเท่าตัว 
 

 
 
ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าทั้งน้ำมัน ถ่านหิน และพลังงานจากต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณจำกัดและไม่สามารถควบคุมราคาได้ ประกอบกับกับรัฐบาลเห็นถึงแนวโน้มวิกฤตด้านพลังงานของชาติดังกล่าวนี้ จึงกำหนดนโยบายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศในระยะยาว เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยกำหนดนโยบายเชิญชวนและอนุมัติให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ใช้เอง โดยการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ไว้บนหลังคาบ้านของตนเอง
 
นอกจากนั้นรัฐบาล ยังได้กำหนดให้การไฟฟ้ารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก “ระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” ที่ติดตั้งบนหลังคาบ้านของประชาชนอีกด้วย ซึ่งมีข้อกำหนด ดังนี้ คือ
 
1) ผลิตไฟฟ้า ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ รับซื้ออัตรา 6.85 บาท/หน่วย
2) ผลิตไฟฟ้า ขนาด 10 – 250 กิโลวัตต์ รับซื้ออัตรา 6.40 บาท/หน่วย
3) ผลิตไฟฟ้า ขนาด 250 – 1,000 กิโลวัตต์ รับซื้ออัตรา 6.01 บาท/หน่วย

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 ก.ย. 2557 เวลา : 14:58:02
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 10:53 am