"บัณฑูร" มองเศรษฐกิจไทยยังโตได้ 4 % ไม่ห่วงยุโรปใส่เงินคิวอีก ประเมินผลงานแบงก์ปี 2557 สอบผ่าน คาดสินเชื่อปีนี้โต 8 -9 %
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรฐกิจไทยปีนี้ยังขึ้นอยู่กับการลงทุนของภาครัฐ ที่จะสามารถใช้งบประมาณในการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด โดยคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 4 % ขณะที่ผลกระทบจากต่างประเทศมีผลต่อประเทศไทยไม่มากนัก โดยผลที่จะตามมาอาจจะมีเรื่องของความผันผวนของค่าเงิน และเรื่องความไม่สงบในหลายประเทศที่ยังทะเลาะกันอยู่ ส่วนการใช้มาตรการ QE ของยุโรปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกของประเทศที่ยังป่วย การใช้ QE ก็ช่วยเสริมสภาพคล่อง แต่จะเป็นอย่างไรก็คงต้องตามดู ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยที่เกิดขึ้น ก็คงไม่ได้มีอะไร เพราะประเทศไทยก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไปต่อได้
“การเติบโตของธนาคารพาณิชย์ก็เป็นการสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจากสถานการณ์เศรษฐกิจโตได้ 4 % การเติบโตทางด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชยก็อาจจะอยู่ราว 8 -9 % ซึ่งจะมาจากเอสเอ็มอีเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาผลประกอบการของธนาคารกสิกรไทยก็นับว่าสอบผ่าน ส่วนปีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องดูต่อไป”นายบัณฑูรกล่าว
นายบัณฑูรกล่าวต่ออีกว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรส่งเสริมเอสเอ็มอีและนวัตกรรมภูมิภาคประเทศญี่ปุ่น(Organization for Small & Medium Enterprises and Regional Innovation, JAPAN) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) เพื่อให้การสนับสนุนและร่วมมือในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนแก่เอสเอ็มอีจากประเทศญี่ปุ่น
โดยความร่วมมือกันจะสามารถช่วยสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างประเทศ รวมถึงลงพื้นที่เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนและดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดทางการค้าระหว่างไทย–ญี่ปุ่น และแนะนําบริการแก่ลูกค้าเอสเอ็มอีญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าและการพัฒนาของระบบการจัดการธุรกิจของเอสเอ็มอีไทย รวมถึงระบบการจัดการด้านเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสให้เกิดความร่วมมือในลักษณะ Joint-venture เบื้องต้นคาดว่ามีบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในไทยราว 80-100 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท
“เอสเอ็มอีเป็นตัวอย่างสำคัญ ในเรื่องบทบาทต่อการพัฒนาประเทศ เอสเอ็มอีญี่ปุ่นยังสามารถช่วยให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 2 ใน 3 ของอัตราการจ้างงานในญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อในประเทศลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นต้องพยายามหาตลาดและผู้ผลิตใหม่ๆ ในต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นมีมาตรการสนับสนุนเอสเอ็มอีในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และได้ตั้งเป้าภายในปี 2560 จะให้เอสเอ็มอีในประเทศญี่ปุ่นออกมาดําเนินธุรกิจในต่างประเทศ กว่า 10,000 ราย”นายบัณฑูรกล่าว
นายบัณฑูรกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทย ให้ความสําคัญกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นด้วยการเตรียมบุคลากรที่เข้าใจภาษา และวัฒนธรรมญี่ปุ่น มาดูแลการให้บริการแก่ลูกค้าผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกในการใช้บริการของธนาคาร นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งและปรับปรุง Japanese Friendly Branch, Call Center, ATM และเอกสารต่างๆ สำหรับลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยยังได้เป็นพันธมิตรกับสถาบันการเงินในญี่ปุ่น 29 แห่ง ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหลักแก่เอสเอ็มอีในญี่ปุ่น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ธนาคารฯสามารถสานต่อการให้บริการแก่เอสเอ็มอีญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นประมาณ 3,000 กว่าราย และมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 13% โดยตั้งเป้าที่จะเป็นธนาคารไทยในใจนักลงทุนญี่ปุ่นและจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นในไทยเป็น 16% ภายในปีหน้า
ด้าน นายโทชิฮิโกะ วาตานาเบะ กรรมการบริหาร องค์กรส่งเสริมเอสเอ็มอีและนวัตกรรมภูมิภาคประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นเป้าหมายหนึ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้ามาลงทุน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการทำธุรกิจในอาเซียน เนื่องจากมีความพร้อมในเรื่องปัจจัยพื้นฐานต่างๆ และทำเลที่ตั้งของประเทศได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ซึ่งความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยน่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เอสเอ็มอีญี่ปุ่นที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและอาเซียน เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงในการให้บริการ และมีส่วนแบ่งตลาดลูกค้าเอสเอ็มอีเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย รวมถึงการให้ความสำคัญแก่นักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งการให้บริการทางการเงินและสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นการมีสถาบันการเงินที่เข้มแข็งและเข้าใจผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จะช่วยอำนวยความสะดวกและสร้างความมั่นใจแก่เอสเอ็มอีญี่ปุ่นที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นด้วย
ข่าวเด่น