ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น "ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ในที่สุด ดร.สมคิด ก็ได้มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัว ให้กับนักธุรกิจ ประกอบด้วย สภาอุตาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้รับฟัง

โดยได้ยืนยันว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยไม่ได้เกิดวิกฤต แต่เป็นเพียงภาวะซบเซา ซึ่งเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกลดลง และเกษตรกรมีรายได้ลดลง

ซึ่งรัฐบาลกำลังเตรียมทยอยใช้มาตรการต่างๆ ออกมาตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป เพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น และวางแนวทางเพื่อการเติบโตในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะทำงานร่วมกับภาคเอกชน

ทั้งนี้ ปัญหาที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย คือ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศอยู่ในภาวะถดถอยลงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เนื่องจากขาดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นเวลานาน และการพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกถึง 60% ต่อจีดีพี ดังนั้นจึงต้องหันมาเน้นการพึ่งพาการบริโภคในประเทศตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเมื่อเกิดปัญหากับการส่งออกก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทันที จึงต้องทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างสมดุลทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนใน 2 จุดใหญ่ คือ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และ SMEs ซึ่งหลังจากเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดแรกเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในสัปดาห์หน้า และอีก 2 สัปดาห์หลังจากนั้นจะเสนอมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของ SMEs ให้ ครม.พิจารณา

นอกจากนั้นจะมีการฟื้นโครงการโอท็อปเป็นการผลักดันให้ระดับหมู่บ้านและตำบลสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ส่วนการเบิกจ่ายกระทรวงการคลังจะเข้าไปดูแลกระบวนการที่ทำให้เม็ดเงินกระจายลงสู่ระดับล่างโดยตรง

ขณะที่ภาครัฐจะเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการช่วยกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไปในทุกพื้นที่ของเส้นทาง โดยจะมองเพียงเรื่องของผลตอบแทนของโครงการไม่ได้ แต่ต้องมองไปถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่จะเกิดมูลค่าเพิ่มตามมาในอนาคต โดยจะเน้นการลงทุนแบบ PPP ที่ไม่เกินฐานะทางการคลัง ซึ่งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความสามารถในเรื่องนี้

นอกจากนั้นงานสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การส่งเสริมการลงทุน ซึ่งได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแนวทางและมาตรการต่างๆ ทุกด้านที่จะสามารถจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างเวียดนามได้ทุ่มทุกอย่าง เพื่อดึงบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ซัมซุง เข้าไปตั้งฐานการผลิต ดังนั้นประเทศไทยจะช้าไม่ได้ เพราะเราได้เปรียบเรื่องภูมิศาสตร์ และในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะสินค้าแต่ละรายการ เช่น สินค้าฮาลาล ไอที ยางพารา นอกเหนือจากการพัฒนาในรูปแบบของคลัสเตอร์ใหญ่ ร่วมมือสถาบันการศึกษาพัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อสร้างนักรบเศรษฐกิจไปต่อสู่ในตลาดโลก

สำหรับการส่งออกต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างแบรนด์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยรวมตัวกันเป็นคลัสเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้มีการพัฒนาที่รวดเร็ว เกิดนวัตกรรมใหม่

นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานภาครัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนให้สอดรับกับแนวทางต่างๆ โดยขณะนี้ทีมเศรษฐกิจ พร้อมด้วยที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนปัจจุบัน และว่าที่ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ รวมทั้งอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องได้หารือเรื่องการปฏิรูปการเงินการคลังร่วมกันทั้งตลาดเงินและตลาดทุน

ซึ่งการแสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าว นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ทำให้เกิดความมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ แม้ยอดส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ยังติดลบอย่างต่อเนื่อง เพราะนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งการกระจายรายได้ลงไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อจะช่วยทดแทนยอดส่งออกที่หายไปได้ และคาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในอีก 2 เดือนข้างหน้า

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้ โดยภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ แต่ขอให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะกฎหมายการนำเข้าและส่งออก การขอใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ

ขณะที่ นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เป็นนิมิตหมายดีที่ประเทศจะสามารถก้าวข้ามปัญหา เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาประเทศ