นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)  หรือ SSI เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ แจ้งการหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนชั่วคราวที่โรงงานเอสเอสไอที่ไซด์ของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด (เอสเอสไอยูเค) โดยเอสเอสไอ ยูเค เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด 100% และการประกาศหยุดการผลิตในส่วนของโรงถลุงเหล็ก (Iron and Steel Making Operation) ของเอสเอสไอ ยูเค ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 1,700 คน จากทั้งหมดประมาณ 2,000 คน ดังที่ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้นั้น
   

จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด บริษัท ฯ ขอแจ้งว่า เอสเอสไอ ยูเค ได้ตัดสินใจยื่นคำร้องขอยกเลิกกิจการและชำระบัญชี (Liquidation) ต่อศาล และศาลได้รับคำร้องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 2 ตุลาคม 2558 ซึ่งส่งผลให้สินทรัพย์ของเอสเอสไอ ยูเค เข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีในทันที นอกจากนี้จะส่งผลให้คณะกรรมการของเอสเอสไอ ยูเค สิ้นสุดอำนาจดำเนินการกิจการของเอสเอสไอ ยูเค ด้วย
 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ประเมินผลกระทบจากการยกเลิกกิจการและชำระบัญชีของเอสเอสไอ ยูเค ซึ่งจะมีต่องบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 3 /2558
  

1. เงินลงทุนในบริษัทย่อย ประมาณ 27.48 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ จะต้องมีการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ในงบแสดงฐานะการเงิน และรับรู้ผลขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงบกำไรขาดทุน
  

2. ยอดหนี้สินคงค้างระหว่างกัน ประมาณ 6.25 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ จะต้องตั้งสำรองหนี้สินดังกล่าวเต็มจำนวนในงบแสดงฐานะการเงิน และรับรู้ผลขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงบกำไรขาดทุน
  

3. หนี้ของเอสเอสไอ ยูเค จำนวน 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ในฐานะที่บริษัทฯเป็นผู้ค้ำประกันของเอสเอสไอ ยูเค ซึ่งบริษัทฯจะต้องมีการบันทึกหนี้สินเพิ่มขึ้น ในงบแสดงฐานะการเงินและรับรู้ผลขาดทุนจากรายการดังกล่าวในงบกำไรขาดทุน
  

การยกเลิกกิจการและชำระบัญชีของเอสเอสไอ ยูเค ดังกล่าว จะมีสินทรัพย์ที่ถูกจำหน่ายซึ่งยังไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง บริษัทฯ จึงยังไม่รับรู้มูลค่าของสินทรัพย์ดังกล่าว