การค้า-อุตสาหกรรม
KTIS ทุ่ม 70 ล้านบาท ผลิตบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย


 



KTIS ติดตั้งและทดลองเดินเครื่องผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อชานอ้อย เสริมสายการผลิตเยื่อชานอ้อยให้ครบวงจร เผยใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ชี้สิ่งที่มากกว่ารายได้และผลกำไรคือความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยของกลุ่ม KTIS ใช้กระบวนการฟอกขาวแบบปราศจากคลอรีน อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษชานอ้อยรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานปลอดภัยต่อการบริโภค GMP & HACCP
 
 
 

นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง  เปิดเผยว่า กลุ่ม KTIS ได้ทำการผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อยในนามของบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ KTIS ถือหุ้น 100% ก่อตั้งเมื่อปี 2546 โดยในปี 2558 มีรายได้ประมาณ 1,305 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7% ของรายได้รวมของกลุ่ม KTIS ซึ่งนับเป็นอีกสายธุรกิจหนึ่งที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเยื่อกระดาษชานอ้อยจากโรงงานนี้ได้จำหน่ายให้กับผู้ผลิตกระดาษทิชชู่ กระดาษรีมที่ใช้ในสำนักงานทั่วไป รวมไปถึงกระดาษในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งสามารถทดแทนการตัดต้นไม้ได้ถึงปีละ 32 ล้านต้น

ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยของกลุ่ม KTIS ใช้กระบวนการฟอกขาวแบบปราศจากคลอรีน อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษชานอ้อยรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานปลอดภัยต่อการบริโภค GMP & HACCP ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับนำไปทำบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่อาหาร เช่น ถ้วย จาน ชาม กล่อง ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภค และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทางกลุ่ม KTIS จึงได้เพิ่มสายการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากชานอ้อยขึ้นมา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท จะสามารถผลิตเพื่อจำหน่ายและรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 นี้เป็นต้นไป

 “เราทราบกันดีว่าภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมนั้นสร้างปัญหาให้กับสภาวะแวดล้อม เพราะย่อยสลายยาก จึงมีการรณรงค์ลดใช้โฟมกันมาหลายปีแล้ว และบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยนี่แหละที่จะสามารถนำมาใช้ทดแทนโฟมได้ มีผลดีอย่างมากกับสิ่งแวดล้อม เพราะทำมาจากชานอ้อย ย่อยสลายในเวลาอันรวดเร็ว” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว

 อย่างไรก็ตาม กลุ่ม KTIS ยังไม่สามารถประเมินผลตอบแทนในเชิงของรายได้และกำไรจากโครงการนี้ได้ชัดเจนนักในขณะนี้ เนื่องจากเป็นโครงการต่อยอดจากกำลังการผลิตเยื่อชานอ้อยที่มีอยู่เดิม ดังนั้น จะต้องคำนึงถึงลูกค้าเดิมที่เคยสั่งซื้อเยื่อกระดาษชานอ้อยจากกลุ่ม KTIS ด้วย

 “เราไม่ห่วงเรื่องตลาดหรือลูกค้าของบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย เพราะมีความต้องการรองรับอยู่แล้ว และการรักษาสิ่งแวดล้อมก็เป็นเทรนด์ใหญ่ของโลก แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่ม KTIS เราให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เคยเป็นพันธมิตรกับเรามานาน การเริ่มธุรกิจใหม่ของเราจะต้องส่งผลกระทบกับลูกค้าเดิมของเราน้อยที่สุด เพราะนี่คือการเติบโตอย่างมั่นคง”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่ม KTIS กล่าว

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 17 มี.ค. 2559 เวลา : 11:27:07
10-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 10, 2024, 6:29 pm