แบงก์-นอนแบงก์
กรุงศรีเผยกำไรสุทธิไตรมาส1/59อยู่ที่5.2 พันลบ.เพิ่มขึ้น 19.0% จากปีก่อน


 


กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ได้รายงานผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/2559 ที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 19.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทาย กอปรกับผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ


นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในไตรมาส 1/2559 กรุงศรีมีกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทาย กอปรกับผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้ 
 
 
 
 

ปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาส 1/2559 มาจากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของธนาคารภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางในการเติบโตและเพิ่มสัดส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ขณะเดียวกันรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากต้นทุนทางการเงินที่ปรับดีขึ้น 
จากการปรับเพิ่มขึ้นของสัดส่วนเงินฝากต้นทุนต่ำและยอดเงินรับฝากที่ลดลง”

สำหรับแนวโน้มธุรกิจโดยรวมของธนาคารในระยะต่อไป นายโกโตะให้ความเห็นว่า “ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกเป็นการฟื้นตัวด้วยข้อจำกัด เราคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ และภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตแข็งแกร่ง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้  ทั้งนี้ การบริโภคจะฟื้นตัวโดยได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตรที่มีเสถียรภาพมากขึ้น การเติบโตของรายได้นอกภาคเกษตร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล ขณะที่การเร่งเบิกจ่ายภาครัฐและโครงการลงทุนจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของการลงทุน ภายใต้สมมติฐานดังกล่าว ธนาคารคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 3.2% ซึ่งจะสนับสนุนต่อการขยายตัวของสินเชื่ออย่างครอบคลุมที่ 5-6% สำหรับปี 2559 อย่างไรก็ดี ธนาคารยังคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะช้ากว่าที่คาด ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป”

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในไทยมีสินเชื่อรวม 1.302ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.032 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 1.754 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 167.2 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 13.5% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 11.8%


สรุปผลประกอบการ (ตามงบการเงินรวม) และฐานะการเงินที่สำคัญ สำหรับไตรมาส 1/2559
กำไรสุทธิ: อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาส 4/2558 และเพิ่มขึ้น 19.0% จากไตรมาส 1/2558
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM): ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.81% เทียบกับ 3.82% ในไตรมาส 4/2558
รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ: เพิ่มขึ้น 2.7% จากไตรมาส 4/2558 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้กู้ยืม ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจเช่าซื้อ และค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้: ปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ 45.9% จาก 47.6% ในไตรมาส 4/2558 สะท้อนการเติบโตของรายได้และประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย
เงินให้สินเชื่อ: ลดลง 0.1% หรือจำนวน 1.3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558  
เงินรับฝาก: ลดลง 1.3% หรือจำนวน 13.8 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: อยู่ที่ 2.28% ของเงินให้สินเชื่อรวม เมื่อเทียบกับ 2.24% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 142.9% เทียบกับ 140.6% ณ สิ้นปี 2558 
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง: อยู่ที่ 13.5% ณ สิ้นไตรมาส 1/2559 เงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท ลดลงจำนวน 1.3 พันล้านบาท คิดเป็น 0.1% 
จากธันวาคม 2558 การลดลงของเงินให้สินเชื่อในไตรมาส 1/2559 มาจากปัจจัยด้านฤดูกาลในการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจขนาดใหญ่ และความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยเติบโตจากเงินให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

เงินรับฝากลดลง 1.3% จากธันวาคม 2558 การลดลงของเงินรับฝากสอดคล้องกับความต้องการของสินเชื่อที่ชะลอลง ทั้งนี้ สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถามต่อเงินรับฝากทั้งหมดปรับสูงขึ้นอยู่ที่ 54.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.81% เทียบกับ 3.82% ในไตรมาส 4/2558 สะท้อนต้นทุนทางการเงินปรับตัวดีขึ้นระหว่างไตรมาส แม้ว่าผลตอบแทนโดยรวมของสินทรัพย์จะปรับลดลง 

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งหมดอยู่ที่ 2.28% เมื่อเทียบกับ 2.24% ในเดือนธันวาคม 2558 ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นจาก 140.6% ณ สิ้นปี 2558 มาอยู่ที่ 142.9% ณ สิ้นไตรมาส 1/2559
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 21 เม.ย. 2559 เวลา : 13:04:46
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 8:11 pm