กองทุนรวม
บลจ.ไทยพาณิชย์ โชว์ผลงานบริหารกอง SCBSE-SCBENERGY เตรียมจ่ายปันผล 20 ก.พ.นี้ เชื่อหุ้นไทยยังไปได้ มองผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปี 2560 โต 10%


 นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2559– วันที่ 31 มกราคม 2560 โดยจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยพร้อมกันในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 จำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) ในอัตรา 0.2500 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นครั้งที่ 12 รวมจ่ายปันผล 6.1100 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย.2554)

สำหรับกองทุน SCBSE ถือเป็นกองทุนที่โดดเด่น โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผลการดำเนินงานงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (ข้อมูล ณ วันที่  3 ก.พ.2560)  ทั้งนี้กองทุน SCBSE มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 25.87% สูงกว่าดัชนี SET INDEXซึ่งอยู่ที่ 22.54%  เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach โดยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดและสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น โดยจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น และกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูงได้

นายสมิทธ์ กล่าวว่า ส่วนอีก 1 กองทุน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET ENERGY SECTOR INDEX (SCBENERGY) มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด จ่ายปันผลในอัตราหน่วยละ 0.8500 บาท ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 1.7200 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย.2554)

ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.พ.2560)  กองทุน SCBENERGY มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 49.06% สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีราคาหลักทรัพย์ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ที่ 45.05%

นายสมิทธ์ กล่าวถึง การลงทุนตลาดหุ้นไทยว่าในปี 2560 ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้งโดยเกิดจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง บลจ.ไทยพาณิชย์คาดว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2560 ยังเติบโตได้ที่ระดับ 10% โดยปัจจัยหลักเกิดจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่จะส่งผลบวกต่อหุ้นพลังงาน ประกอบกับการบริโภคของภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่การบริโภคของประชาชนลดลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2559  นอกจากนี้ยังมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเริ่มมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและจะทำให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นตามมาซึ่งเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 15 ก.พ. 2560 เวลา : 18:24:06
05-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 5, 2024, 9:51 am