แบงก์-นอนแบงก์
TMB ลดจีดีพีปีนี้เหลือ 3.3% จากเดิมคาดโต 3.5%


นายนริศ  สถาผลเดชา  ผู้อำนวยการอาวุโสศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics บอกว่า ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ 3.3% จากเดิมที่คาดการณ์ 3.5%  เนื่องจากปรับลดคาดการณ์การลงทุนภาคเอกชนลดลงเหลือ 1.7% จากเดิม คาดโต 2.2% โดยปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ยังมาจากการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยว  ซึ่งคาดว่าการลงทุนภาครัฐจะเพิ่มขึ้นถึง 15% จากปีก่อนที่ขยายตัว 9.9% โดยมาจากการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ประมาณ 240,000 ล้านบาท   และมีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมจากงบพัฒนา 18 กลุ่มจังหวัด กว่า 75,000 ล้านบาท

          
ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวในปีนี้คาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 35 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 1,700 ล้านบาท เป็น 1,800 ล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงจากการปราบปรามทัวร์ผิดกฎหมายในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะกลับมาสู่ภาวะปกติ  รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาติ อื่นๆจะกลับมาขยายตัวได้ดี

 
 
ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังขยายตัวไม่มากนักโดยปีนี้คาดว่าจะเติบโต 3% ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัว3.1% ส่วนการส่งออกปีนี้คาดว่าจะเติบโต 2% ในรูปเงินดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 3.9%

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี มองว่ามีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าแต่ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค  โดยมีโอกาสอ่อนค่าลงแตะ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงปลายปี  ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะทรงตัวที่ระดับ 1.5% ได้ตลอดทั้งปีนี้ และมีแนวโน้มปรับขึ้นในปีหน้ามาอยู่ที่ระดับ 2%

ทั้งนี้TMB ยังเห็นว่าทิศทางเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเป็นปีแห่งความผัวผวน  แม้เศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะสหรัฐ ที่เติบโตได้ดี แต่เศรษฐกิจสหรัฐยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์

นายนริศ  ยังบอกถึงกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีว่า  ศูนย์วิเคราะห์ฯได้ทำการศึกษาธุรกิจ SME ในหลายมิติ  ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกจาก Big Data ธุรกิจ SME  ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย   แม้รายได้ SME ทั้งประเทศมีสัดส่วนเพียง 43% ของรายได้รวมของธุรกิจทั้งประเทศ แต่กลับมีจำนวนกิจการถึง 99%ของจำนวนธุรกิจทั้งประเทศ  และยังมีบทบาทในการจ้างงานถึง 80%ของการจ้างงานทั้งประเทศ  ซึ่งพบว่า 80% ของรายได้ธุรกิจ SME ทั้งภาคการผลิต  ภาคการค้า หรือภาคบริการ  ล้วนกระจุกตัวอยู่ในหัวเมืองใหญ่
 
และเมื่อวิเคราะห์ลึกลงไป โดยดูในด้านศักยภาพของธุรกิจซึ่งพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของรายได้และอัตราส่วนกำไรสุทธิ จะสามารถแบ่งธุรกิจ SME ทั้งประเทศออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1)กลุ่ม Potential ที่มีศักยภาพในการเติบโต พบว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน ธุรกิจการท่องเที่ยว ตัวอย่างธุรกิจในกลุ่มนี้ ได้แก่ SME ที่อยู่ในจังหวัด จันทบุรี ตาก เชียงราย บึงกาฬ โดยหากได้รับแรงจูงใจในการขยายลงทุน อาทิ สิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ก็จะสามารถผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้อีก
 
2)กลุ่ม Matured ที่มีผลการดำเนินงานดีต่อเนื่อง  เป็น SME ที่อยู่ในจังหวัดใหญ่  ซึ่งมีประชากรมาก ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน หรือการเป็น Hub ของอุตสาหกรรม Hub ของโลจิสติกส์ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์หรือการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ แม้เป็นกลุ่มที่ไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้ากลุ่มนี้สามารถยกระดับการพัฒนาก้าวไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้หรือพัฒนาผลิตภาพการผลิต จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อีกมาก และสามารถช่วยเหลือธุรกิจที่เกี่ยวข้องตลอดซัพพลายเชนให้ดีขึ้นตาม ตัวอย่างธุรกิจในกลุ่มนี้ได้แก่ SME ที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง อุดรธานี สงขลา
 
3)กลุ่ม Challenged ที่กำลังเผชิญกับกับดักการเติบโต พบว่าเป็นธุรกิจทางการเกษตร และมักเป็นกิจการที่อยู่ในจังหวัดเล็ก ประชากรน้อย เป็นเมืองทางผ่าน ตัวอย่างธุรกิจในกลุ่มนี้ได้แก่ SME ที่อยู่ในจังหวัดสกลนคร ร้อยเอ็ด ปัจจัยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มนี้ คงต้องใช้การพัฒนาธุรกิจทั้งห่วงโซ่การผลิตจากกลุ่มจังหวัดเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ

ส่วนการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์  มีแนวโน้มสดใสมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว   ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการลงทุนภาครัฐ โดยสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 5.7 เร่งตัวขึ้นจากการกลับมาเติบโตของธุรกิจขนาดใหญ่และ SME นำโดยธุรกิจก่อสร้างที่ได้รับผลดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจการค้าซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน  โดยเฉพาะกำลังซื้อในต่างจังหวัด ในส่วนของสินเชื่ออุปโภคบริโภค ทั้งสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิต จะเติบโตดีจากการปลดล็อคโครงการรถยนต์คันแรกและการปรับตัวดีขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ทั้งนี้ ยังคงต้องเฝ้าระวังคุณภาพสินเชื่อโดยเฉพาะภาคการผลิต
 
ด้านเงินฝากมีแนวโน้มขยายตัว 4.3% เพิ่มขึ้นตามความต้องการสินเชื่อซึ่งคาดว่าจะเร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้สภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ตึงตัวขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อมองสภาพคล่องโดยรวมของประเทศแล้ว เรายังมีสภาพคล่องเหลือกว่า 11 ล้านล้านบาท
         

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 มี.ค. 2560 เวลา : 18:36:53
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 5:25 pm