แบงก์-นอนแบงก์
"เกียรตินาคินภัทร"คงเป้าสินเชื่อปีนี้โต 5% หลังครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 4.1% พร้อมเปิดบริการใหม่ "GIS" จับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งลงทุน ตปท.


 "กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร"คงเป้าสินเชื่อปีนี้โต 5% จากครึ่งปีแรกโต 4.1% ล่าสุดเปิดบริการใหม่ "GIS บริการลงทุนต่างประเทศ" จับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งสูง มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น 

  
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เปิดเผยว่า ในปี 2560 ยังคงเป้าหมายสินเชื่อรวมเติบโตที่ 5% จากครึ่งปีแรกเติบโต 4.1%  เป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อบรรษัทที่ผสานความร่วมมือของสายสินเชื่อบรรษัทกับสายงานวานิชธนกิจของ บล.ภัทร และมีการทำงานที่เข้มข้นของเครือข่ายสาขาและสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า เพื่อรุกตลาดสินเชื่อรายย่อยผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และ สินเชื่อ KK SME รถคูณ 3 ซึ่งทั้งสามผลิตภัณฑ์นี้มีการขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 
ทางด้านธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะในส่วนของ Private Bank ภายใต้ธุรกิจไพรเวทเวลธ์สำหรับผู้ลงทุนไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) อยู่ที่ 403,000 ล้านบาท (ไม่รวมเงินฝาก) โดยมียอดเงินลงทุนใหม่กว่า 22,000 ล้านบาท

และ ล่าสุด บล.ภัทร ได้เปิดบริการใหม่ คือ Global Investment Service (GIS) ซึ่งเป็นการให้บริการลงทุนต่างประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไร้ข้อจำกัดด้านพรมแดน ซึ่งการบริการดังกล่าวนี้เทียบชั้นไพรเวทแบงค์ระดับโลก และ ในส่วนของ บลจ.ภัทร มีการเติบโตที่ดีทั้งในส่วนของกองทุนรวม และ กองทุนส่วนบุคคล โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุนกว่า 56,000 ล้านบาท มีกองทุนภายใต้การบริหาร 30 กองทุน (Mutual Fund 27, Property Fund 3) ส่วนกองทุนส่วนบุคคล มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารกว่า 15,600 ล้านบาท เติบโตกว่า 50% เมื่อเทียบกับปลายปี 59
 
นอกจากนี้ ในส่วนของ Investment Banking บล.ภัทร ได้มีโอกาสร่วมทำงานในดีลที่สำคัญๆ อาทิ การเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ. โกลบอลกรีนเคมิคอล และ บมจ. บี กริม เพาเวอร์ ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังยังมีที่อยู่ในแผนงานอีก

"บริการ GIS นี้ เรามุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งพนักงานของเรามีฐานลูกค้ากลุ่มนี้จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ถึงจุดนี้เป็นจุดที่เราต้องลงทุนด้านคอร์แบงก์กิ้งแล้ว ด้วยงบลงทุนกว่าร้อยล้านบาท ทั้งเรื่องระบบและเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งครึ่งปีหลังปีหน้าน่าจะเสร็จ ซึ่งจะทำให้เรามีผลิตภัณฑ์ที่มีฟีเจอร์มากขึ้น และขายผลิตภัณฑ์ร่วมกับแบงก์ได้มากขึ้นและหลากหลาย"นายอภินันท์กล่าว
 
 
นายอภินันท์กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันของธนาคารและตลาดทุนภายใต้กลุ่มธุรกิจมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสายสินเชื่อบรรษัท และ สายตลาดการเงินของธนาคาร รวมถึงสายงานวานิชธนกิจ และ ตลาดทุนของภัทร มีการนำเสนอบริการ และ ผลิตภัณฑ์ร่วมกันจนสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจ เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของธนาคาร ให้มุมมองต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตามอง 3 ประการ ได้แก่ รายได้เกษตรกรเริ่มชะลอตัวลงจากราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มปรับลดลง โดยเฉพาะยางและปาล์มน้ำมัน อาจทำให้การบริโภคในระยะต่อไปชะลอตัวลง ถัดมา คือ อัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนไม่น่าจะปรับขึ้นได้เร็วนัก และสุดท้าย คือ ภาคการส่งออกอาจชะลอตัวลงในระยะต่อไปจากราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และ สินค้าเกษตรที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก และ การแข็งค่าของเงินบาทที่จะกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาท

ด้าน นายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ KKP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกปี 2560 เปรียบเทียบกับงวดครึ่งปีแรกปี 2559 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 2,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนของรายได้ แบ่งเป็นรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 5,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจาก 4.7% เป็น 5.3% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 1,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากที่ปรึกษาทางการเงินและรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ รายได้รวมจากการดำเนินงาน คือ 7,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% ในส่วนของสินเชื่อรวมนั้น มีมูลค่า 183,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากสิ้นปี 59 มาจากสินเชื่อรายย่อย (สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, Micro SMEs, สินเชื่อบุคคล) สินเชื่อบรรษัท และ สินเชื่อ Lombard

ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 5.8% เพิ่มขึ้นจาก 5.6% ณ สิ้นปี 59 มาจากการปรับเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง และสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 59 อยู่ที่ 17.54% (เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 14.20%) หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/60 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 18.64% (เงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 15.30%) ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/60 มียอดสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าเผื่อการปรับมูลค่าจากการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวน 11,089 ล้านบาท โดยมียอดสำรองทั่วไปทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท อัตราส่วนสำรองทั้งสิ้นต่อสำรองตามเกณฑ์เท่ากับ 185.1% เปรียบเทียบกับ 169.8% ณ สิ้นไตรมาส 2/59 และมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 104.6% เพิ่มขึ้นจาก 95.7% ณ สิ้นไตรมาส 2/5

บันทึกโดย : วันที่ : 31 ก.ค. 2560 เวลา : 13:12:50
24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 8:07 am