คืบหน้าไปอีกก้าวกับการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การชำระเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์ (National e-Payment) ของรัฐบาล ซึ่งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์อีเพย์เมนต์ว่า ในแผนงานอีเพย์เมนต์จะเพิ่มการใช้คิวอาร์โค้ด (QR Code) ชำระสินค้าและบริการอีกชนิดหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการลดใช้เงินสดในไทยลง โดยในวันที่ 31 สิงหาคม ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะประกาศคิวอาร์โค้ดกลางให้ธนาคารต่างๆ นำไปใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน หลังจากนี้ธนาคารต่างๆ สามารถนำคิวอาร์โค้ดกลางไปพัฒนา เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าธนาคารใช้ในการจ่ายเงินชำระสินค้าและบริการในร้านค้าต่างๆ ซึ่งการใช้คิวอาร์โค้ดจะง่ายสำหรับร้านค้าเล็กๆ ที่ไม่ต้องติดตั้งเครื่องรับชำระเงินสด(อีดีซี) เพียงมีคิวอาร์โค้ดสามารถรับเงินเข้าบัญชีจากลูกค้าที่มีมือถือสมาร์ทโฟนได้ทันที
ซึ่งในต่างประเทศนิยมจ่ายเงินด้วยคิวอาร์โค้ด แต่คิวอาร์โค้ดของเขาจะต่างคนต่างทำ ไม่มีมาตรฐานกลาง ดังนั้นไทยเองหากจะสนับสนุนให้ลดการใช้เงินสด หน่วยงานรัฐต้องเข้าไปสนับสนุนด้วยการทำมาตรฐานกลางของคิวอาร์โค้ดขึ้นมา เมื่อมีมาตรฐานกลางธนาคารไหนจะหยิบไปใช้ ไปพัฒนาต่อทำได้เลยทันที”นายอภิศักดิ์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าแผนงานอีเพย์เมนต์ด้านต่างๆ ส่วนใหญ่เดินได้ตามแผนงานวางไว้ โดยในส่วนของพร้อมเพย์ หรือการโอนเงินด้วยบัตรประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์มือถือ พบว่ามีประชาชนมาลงทะเบียนกว่า 31.5 ล้านเลขหมาย ถือว่าสูงมาก เป็นการลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน 23.3 ล้านราย และลงทะเบียนด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ 8 ล้านเลขหมาย ส่วนการติดตั้งเครื่องอีดีซียังช้ากว่าแผนล่าสุดติดตั้งไปได้เพียง 1.8 แสนเครื่อง จากเป้าหมายต้องติดตั้ง 5.6 แสนเครื่องภายในเดือนมีนาคม 2560 แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมั่นใจเป็นไปตามแผนวางไว้
ส่วนนายจิรภัทร วีรชยทองคำ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด( มหาชน) กล่าวว่า ระบบการชำระเงินของโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน คือ การมุ่งไปใช้ e-Payment หรือบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสดกันมากขึ้น โดยทุกวันนี้เราสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวในชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก ไม่เฉพาะแค่ในกลุ่มของนักท่องเที่ยวเท่านั้น เพียงแค่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหารดังชั้นนำ ก็จะเห็นป้ายสัญญลักษณ์ธุรกรรมแสดงว่า ที่สามารถรองรับระบบการชำระเงินออนไลน์ ผ่าน QR Code เพื่อตอบสนองกับแนวคิดสังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society ซึ่งข้อดีก็คือ การลดการใช้เงินสดและการเพิ่มการใช้ e-payment จะทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจในการแข่งขันระหว่างประเทศจากการลดต้นทุนที่มาจากธุรกรรมเงินสด และการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของรัฐบาล เพราะ e-payment ทำให้ธุรกรรมการเงินทุกอย่างสามารถตรวจสอบบัญชีย้อนหลังได้
ขณะที่การเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมธนาคาร นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน เปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ " MyMo Pay " ผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด โดยใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งจะจ่ายตรงเข้าบัญชีเงินฝากของร้านค้าที่ใช้บริการ MyMo Pay เช่นเดียวกัน และทำให้ร้านค้าสามารถตรวจสอบได้ทันที เพราะมีการแจ้งเตือนเมื่อมีการโอนเงินเข้าบัญชีผ่านบริการดังกล่าว ซึ่งการบริการ MyMo Pay เป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดใช้เงินสดตามโครงการพัฒนาระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเพย์เมนท์ เพื่อนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless society )
ทั้งนี้ MyMo Pay จะให้บริการเฉพาะลูกค้าของธนาคารออมสินที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ โดยในปัจจุบันธนาคารออมสินมีลูกค้าที่ใช้บริการแล้ว 1.5 ล้านราย คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2 ล้านราย และตั้งเป้าหมายขยายการใช้บริการไม่ต่ำกว่า 1 ล้านรายต่อปี โดยจะมีการจำกัดวงเงินต่อวันไว้ที่ 1 หมื่นบาท แต่สามารถขอเพิ่มวงเงินได้สูงสุด 1 แสนบาทต่อวัน เพื่อความปลอดภัยในการใช้วงเงิน ซึ่งการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงร้านค้าที่ให้บริการ จะไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ
ข่าวเด่น