อสังหาริมทรัพย์
'สิงห์ เอสเตท' ขับเคลื่อนสู่ 'พรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี'


สิงห์ เอสเตท ตอกย้ำวิสัยทัศน์สู่การเป็นพรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี ผ่านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “4S” มุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพและมีอนาคต ผ่านสมาร์ทเอ็มแอนด์เอ  ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความแข็งแกร่งทางการเงินและพัฒนาโครงการสร้างรายได้ใหม่ๆ สร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วและขยายการลงทุนไปในหลายรูปแบบผ่านพอร์ทโฟลิโอที่เติบโตอย่างมั่นคง และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ดีตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน มั่นใจทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตบรรลุเป้าหมาย สร้างรายได้รวม 2 หมื่นล้านในปี 2020

 

 

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนธุรกิจสิงห์ เอสเตทสู่การเป็นพรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานีโดยใช้ 4 ยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบด้วย

1. Smart M&A โดยมุ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี มีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านการลงทุนเพิ่มและการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ นอกจากนั้น ยังเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ผ่านการพัฒนาแบรนด์และการตลาด การพัฒนาบุคลากร และการส่งเสริมความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรม จากยุทธศาสตร์ข้างต้นทำให้บริษัทฯมีการเติบโตของสินทรัพย์จาก 11,288 ล้านบาท ในปี 2014 เป็น 40,910 ล้านบาท ในปี 2017 

โดยวางแผนที่จะลงทุนในกิจการเอาท์ริกเกอร์ โฮเทลส์ ฮาวาย (Outrigger Hotels Hawaii) มูลค่าประมาณ 11,073 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ทจำนวน 6 โครงการใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท, โรงแรมแคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ในประเทศฟิจิ, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท สาธารณรัฐมัลดีฟส์  ซึ่งหากรวมการลงทุนในโครงการ CROSSROADS ที่ประเทศมัลดีฟส์แล้ว คาดว่าจะทำให้สินทรัพย์เติบโตเป็น 60,000 ล้านบาทและสามารถสร้างรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้

 2. Strategic Move สร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น Holding Company เพื่อความพร้อมในการเติบโตในระยะยาว โดยที่ผ่านมา บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่ถือหุ้นโดยสิงห์ เอสเตท ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็น บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) และมีแผนที่จะนำธุรกิจโรงแรมของบริษัท เอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2019 และจะนำอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส เข้ากองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในในปี 2020  ซึ่งจากขั้นตอนดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ สิงห์ เอสเตท เป็น Holding Company ที่สมบูรณ์ 

นอกจากนี้ จะตอกย้ำจุดยืนของการเป็นผู้พัฒนาโครงการที่สร้างเอกลักษณ์และมาตรฐานใหม่ในการใช้ชีวิต ผ่านโครงการที่มีแนวคิดที่แตกต่าง เช่น โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส, โครงการ มิกซ์ ยูส สิงห์ คอมเพล็กซ์ และโครงการครอสโร้ดส์ (CROSSROADS) ที่มัลดีฟส์ ซึ่งจะเป็นโครงการที่เปิดมิติใหม่ในการท่องเที่ยวของประเทศมัลดีฟส์

 3. Strong Growth คือการสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคง จากการสร้างพอร์ทโฟลิโอที่มีความสมดุลของธุรกิจอาคารสำนักงาน ค้าปลีก และโรงแรม ที่สามารถสร้างรายได้ประจำกับธุรกิจที่พักอาศัยซึ่งเป็นรายได้ไม่ประจำ ในอัตราส่วน 50:50 โดยปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างรายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีฐานของรายได้ประจำที่แข็งแกร่งทำให้บริษัทมีศักยภาพในการเติบโตได้ในทุกๆ สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ หรือ Backlog ของธุรกิจที่พักอาศัยกว่า 14,000 ล้านบาท โดยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดิ เอส อโศก และ โครงการ บันยัน ทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ(บมจ.เนอวานาไดอิ)

หากพิจารณาแผนการเปิดโครงการธุรกิจพักอาศัยใหม่ของทั้ง สิงห์ เอสเตท และ เนอวานา ไดอิ  คาดว่าจะมีรายได้ในปี 2020 ถึง 10,000 ล้านบาท และในส่วนธุรกิจโรงแรมและออฟฟิศสำนักงาน เมื่อรวมโรงแรมที่ M&A เข้ามาใหม่ และโครงการ CROSSROADS คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ถึง 10,000 ล้านบาทในปี 2020  ทำให้ สิงห์ เอสเตท โดยรวมมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาทในปี 2020 ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายหมายไว้

4. Sustainable Development นอกจากใช้กลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในด้านการเงินแล้ว บริษัทยังใช้กลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมนำแนวคิดการสร้างคุณภาพชีวิต ผ่านการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของความสำเร็จอย่างยั่งยืนใน 3 ด้าน คือ ด้าน เศรษฐกิจ การสร้างความหลากหลาย เอื้อให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ และเจริญเติบโตไปด้วยกัน ผ่านการลงทุนในธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมนำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจด้านสังคม จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการออกแบบพื้นที่สีเขียว ลดผลกระทบจากมลภาวะ ประหยัดพลังงาน และส่งเสริมคุณภาพแรงงาน สร้างรายได้แก่ชุมชน และด้านสิ่งแวดล้อม โดยริเริ่มโครงการศูนย์การเรียนรู้เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งมอบองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติ มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติและชุมชนอย่างยั่งยืน

โดยบริษัทให้ความสำคัญกับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ธุรกิจที่พักอาศัย และธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงกลุ่มธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้ที่มีเสถียรภาพ โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากปี 2014 มีมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 11,288 ล้านบาท เพิ่มเป็น 40,910 ในปี 2017 ขณะที่มียอดรายได้อยู่ที่ 5,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2014 ที่ทำได้ 370 ล้านบาท กว่า 15 เท่า ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้ถึง 20,000 ล้านบาท ได้เร็วกว่าแผนที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2020 ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์จะเพิ่มมูลค่าไปอยู่ที่ 60,000 ล้านบาท

นายนริศ กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,220 ล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากโรงแรมในประเทศอังกฤษได้เต็มปี หลังจากที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้มาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน และจะมีการรับรู้รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยของเนอวาน่า เข้ามามากกว่า 6,000 ล้านบาท การเริ่มรับรู้รายได้จากโรงแรม 6 แห่งของเอาท์ริกเกอร์ การเปิดให้บริการของอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ในช่วงเดือนสิงหาคม  ซึ่งมีอัตราการเช่า 60% ในปีนี้ การเริ่มทยอยโอนโครงการ The ESSE Asoke ในช่วงปลายปีนี้เล็กน้อย และการเปิดให้บริการของโครงการครอสโร้ด มัลดีฟส์ เฟส 1 ที่มีโรงแรม 2 แห่ง ที่เปิดไห้บริการได้ไนช่วงไตรมาส 4/2561

สำหรับแผนการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในปีนี้ จะลงทุนพัฒนาเอง 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว สันติบุรี เรสซิเดนซ์ มูลค่า 6,000 ล้านบาท  โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ระดับลักชัวรี่ บนทำเลสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ประมาณ 3-4 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท  และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างการหาที่ดิน โดยที่บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2561 จากปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท

ด้าน นายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานโครงการครอสโร้ดส์ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการที่มัลดีฟส์ ว่า โครงการครอสโร้ดส์ประเทศมัลดีฟส์ มีมูลค่าโครงการ(เฟส1) 11,000 ล้านบาท มีแผนจะพัฒนาเป็น Tourist Facilities Destination บนพื้นที่ยาว 7 .. แบ่งเป็น 9 เกาะ ประกอบด้วยโรงแรมและรีสอร์ทที่สร้างสรรค์มาเพื่อตอบโจทย์ทุกๆ ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร อาทิ ท่าเทียบเรือยอร์ชสุดหรู, บีช คลับ ระดับลักชัวรี, ร้านค้าไลฟ์สไตล์, ร้านค้าปลอดภาษี, ร้านอาหารชั้นเลิศ และ Cultural Center เพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่ความเชื่อมโยงของ 2 วัฒนธรรม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนผ่านผลงานสินค้าท้องถิ่น 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 มี.ค. 2561 เวลา : 09:39:40
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 6:59 am