การตลาด
สกู๊ป ธุรกิจรองเท้านักเรียนหัน 'รีเฟรชแบรนด์' ขยายฐานลูกค้าสู้ตลาดทรงตัว


แม้ว่าพฤติกรรมการใส่รองเท้าของคนไทยจะมีมากกว่า 2 คู่ แต่จากจำนวนประชากรเกิดใหม่ที่ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรองเท้าในปีนี้ยังคงคาดการณ์กันว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ในภาวะทรงตัว โดยเฉพาะตลาดรองเท้านักเรียน 

 

 

 

 

จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจรองเท้านักเรียนต้องหันมาปรับกลยุทธ์การทำตลาดอย่างต่อเนื่อง  เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ล่าสุด บริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าภายใต้แบรนด์บาจา ก็ออกมาประกาศรีเฟรชแบรนด์ใหม่  ด้วยการพัฒนารองเท้าแฟชั่นเข้ามาทำตลาดมากขึ้น เช่นเดียวกับบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้านักเรียนนันยางและรองเท้าลำลองตราช้างดาว ที่ออกมาประกาศกลยุทธ์นำรองเท้าผ้าใบขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น  จากเดิมจะเน้นเจาะกลุ่มนักเรียน เป็นหลัก 

นายเปาโล แกรสซี ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท บาจา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทจะใช้กลยุทธ์การตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์รองเท้าระดับโลกจากยุโรปที่เหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย เนื่องจากมีคุณสมบัติสวมใส่สบายและมีดีไซน์แฟชั่นร่วมสมัย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของรองเท้าบาจาที่ทั่วโลกรู้จักดี  ด้วยการปรับกลยุทธ์การทำตลาดสร้างฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่มากขึ้นผ่านแนวคิดสื่อสารการตลาด “Me & Comfortable with it” 

 

 

 

ทั้งนี้  เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์สินค้าของรองเท้าบาจาในภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นมากขึ้น  บาจา  จึงมีแผนที่จะจัดกิจกรรมการตลาด  เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภค ด้วยการการจัดงาน Bata Fashion Weekend 2018 ซึ่งจัดวันที่ 27-29 เม..นี้ ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 2  ที่ บาจา ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานแฟชั่นระดับโลก และจะเป็นการนำเสนอคอลเล็คชั่นที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับบาจาทั่วโลกภายใต้แนวคิด ME&COMFORTABLE WITH IT  ที่เป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การตลาดและการออกแบบสินค้าของบาจาอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังเตรียมร่วมงานกับไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคในระดับาสากล Star Wars Collections เปิดตัวคอลเลคชั่น สตาร์ วอร์ กับ บาจา บูลเล็ต และ บาจาเทนนิสสำหรับฤดูใบไม้ผลิ / ฤดูร้อนปี 2018 นี้ บาจา เฮอร์ริเทจ เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ด้วยไอคอนสุดวินเทจอย่าง สตาร์ วอร์ ในชุดแคปซูลคอนเลคชั่นของ บาจา บูลเล็ต และ บาจา เทนนิส รวมถึง Bata Red Label คอลเลคชั่นรองเท้าที่ทันสมัยที่สุด ออกแบบและพัฒนาร่วมกันระหว่าง บาจา และ อัลโด้ กรุ๊ป ผสมผสานแฟชั่นล่าสุดเข้าด้วยกันอย่างสะดวกสบาย

สำหรับจุดเด่นของสินค้าคอลเลคชั่นนี้  คือ ได้รับการออกแบบในทวีปอเมริกาเหนือ และได้รับแรงบันดาลใจจากรูปแบบที่เห็นได้จากถนนในนิวยอร์กและลอนดอน Bata Red Label มีเป้าหมายที่จะนำเสนอเทรนด์ใหม่ๆ เช่น รูปแบบดอกไม้และสีสดใส ทันสมัย ความสะดวกสบายแบบเซ็กซี่ ในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคทุกคนสามารถแสดงออกถึงบุคลิกของตน

ขณะเดียวกัน  บาจา ยังเตรียมเปิดตัวรองเท้านวัตกรรมใหม่กับคอลเลคชั่น Power Run นวัตกรรมใหม่ B Flex ที่แฟชั่นและการออกแบบอยู่ร่วมกันเพื่อความสะดวกสบายและประสิทธิภาพสูง ด้วยความยืดหยุ่น, ความเบาสบาย, ความคงทน, เทคโนโลยี, การเคลื่อนไหว เป็นต้น รวมถึงยังเตรียมจัดกิจกรรม Back to School, Back to the Giving เพื่อตอบแทนสังคม ภายใต้แคมเปญชิงโชคมอบทุนการศึกษาเพื่อสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนในปีนี้

หลังจากเดินหน้าปรับกลยุทธ์การทำตลาดครั้งใหญ่ในปีนี้ บาจา มั่นใจว่าภาพรวมยอดขายสิ้นปี 2561 นี้จะมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก สวนทางกับภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนที่ปีนี้คาดว่าจะยังเติบโตเป็นตัวเลข 1 หลักในลำดับต้นๆ 

 

 

 

 

ด้านนายจักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้านักเรียนนันยางและรองเท้าลำลองตราช้างดาว กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้จะเน้นจำหน่ายรองเท้าผ้าใบเจาะลูกค้ากลุ่มโรงงานมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงของตลาดรองเท้านักเรียนที่ไม่เติบโต  เพราะประเทศไทยมีอัตราการเกิดของเด็กน้อยลง 

 

ทั้งนี้  จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มลูกค้าโรงงานมีการซื้อรองเท้าผ้าใบไปสวมใส่ใช้ทำงานเติบโตปีละ 5-10%  เนื่องจากประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มหันเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ นันยาง เล็งเห็นโอกาสในตลาดใหม่นี้โดยตั้งเป้าหมายมีสัดส่วนยอดขายกลุ่มโรงงานเพิ่มจาก 20% เป็น 25% ภายใน 3 ปี

ในปี 2560 ที่ผ่านมาได้มีทีมขายของนันยางเข้าไปติดต่อกับโรงงาน เพื่อจำหน่ายรองเท้าผ้าใบราคาส่งเฉลี่ยโรงงานละ 500 คู่ขึ้นไปบ้างแล้วพบว่าได้ผลตอบรับดีเกินคาด โดยเฉพาะในโรงงานใหญ่ๆของ โอสถสภา กระทิงแดง ไทยน้ำทิพย์ ฮอนด้า ไทยชูรส ซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานโรงงานและคลังสินค้า พนักงานขายและจัดส่ง พนักงานบริการ แม่บ้าน ไปจนถึงกลุ่มวิชาชีพเฉพาะก็นิยมใส่ทำงาน

 

 

นอกจากนี้ยัง  ยังมีแผนที่จะขยายตลาดไปในลูกค้าที่เล่นกีฬาตะกร้อ ด้วยการเข้าไปสนับสนุนในกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดรับกับความนิยมของกีฬาดังกล่าวจนเริ่มเป็นนานาชาติมากขึ้น พร้อมกับขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่องจากปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขาย 10-15% จำหน่ายไปแล้ว 15 ประเทศ โดยเน้นอาเซียนเป็นหลัก เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย  ซึ่งถือเป็นประเทศที่นิยมใส่เตะตะกร้อเหมือนประเทศไทย ส่วนในประเทศพม่า บังคลาเทศ อินเดีย ลาว และกัมพูชา จะนิยมซื้อรองเท้าลำลองช้างดาวมาสวมใส่มากกว่า

จากแนวทางการทำการตลาดดังกล่าว ทำให้ปัจจุบัน นันยาง มีกลุ่มลูกค้าหลักทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแฟนพันธ์แท้มีสัดส่วนอยู่ที่ 43% ซึ่งกลุ่มนี้ นันยาง มีสัดส่วนลูกค้ามากถึง 80%   ส่วนกลุ่มที่ 2. อะไรก็ได้มีสัดส่วนประมาณ  25%  กลุ่มที่ 3. ผิดหวัง อยากได้แต่ไม่มีขายมีสัดส่วนประมาณ 24% และกลุ่มที่ 4.ลูกค้าใหม่มีสัดส่วนประมาณ 8% ถือเป็นกลุ่มที่บริษัทต้องพยายามทำตลาดให้เข้าถึงและดึงกลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าของนันยางให้มากที่สุด

นายจักรพล กล่าวอีกว่า  หลังจากบริษัทเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปี 2561 นี้จะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 3-5% เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้เติบโตเพียง 2% เท่านั้น 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 20 เม.ย. 2561 เวลา : 11:20:46
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 1:08 pm