กองทุนรวม
กองทุน DIF โชว์ศักยภาพทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 หนุนประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 1.04 บาท


กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (“กองทุน DIF”) โชว์ศักยภาพทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมครั้งที่ 3เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่ไม่เกิน 3,831 ล้านหน่วย ระดมทุนนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับความต้องการใช้งานสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ตและบรอดแบนด์ที่กำลังขยายตัว มั่นใจในศักยภาพทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมจะส่งผลดีต่อการขยายพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น หนุนประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยหรือ DPU (ตั้งแต่ 1 .. 2561 – 30 มิ.. 2562) เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 1.04 บาทต่อหน่วย เทียบกับปี 2560 (..-..) ที่ให้อัตราเงินปันผลต่อหน่วยอยู่ที่ 0.98 บาทต่อหน่วย พร้อมเคาะช่วงราคาเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมที่ 13.60 - 13.90 บาทต่อหน่วย เตรียมเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ในวันที่ 2 - 8 .. นี้ (เฉพาะวันทำการ) และเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อในวันที่ 2 - 11 .. นี้ (เฉพาะวันทำการ)

 

 

 

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ Digital Telecommunications Infrastructure Fund(DIF) เปิดเผยว่า กองทุน DIF ซึ่งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่จัดตั้งขึ้นเป็นรายแรกและเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมมูลค่ารวมประมาณไม่เกิน 55,236 ล้านบาท โดยจะระดมทุนจากการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่จำนวนรวมไม่เกิน 3,831 ล้านหน่วย โดยมีมูลค่ารวมของหน่วยลงทุนที่เสนอขายทั้งหมดไม่เกินประมาณ 53,236 ล้านบาท และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ที่ได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน DIF ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งจะระดมเงินมาลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่ประเทศ  รองรับความต้องการใช้งานสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ตและระบบบรอดแบนด์ ที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4G LTE และการติดตั้งระบบ 5G ในอนาคต ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 และระบบเศรษฐกิจแบบดิจิทัล

 

 

การลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพิ่มเติมครั้งที่ 3 จะทำให้กองทุน DIF มีขนาดทรัพย์สินที่ใหญ่ขึ้นและสามารถขยายการให้บริการในพื้นที่ต่าง ทั่วประเทศได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กองทุน DIF มีทรัพย์สินที่จะสามารถสร้างรายได้จากการให้เช่าเสาโทรคมนาคมและใยแก้วนำแสงเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน กองทุน DIF จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยในปี2560 - 2565     คาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการระบบ 4G จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ14 ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการระบบ 4G สูงถึงร้อยละ 76 ในปี 2565(ตามรายงานของ Analysys Mason) ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการความต้องการเช่าเสาโทรคมนาคมและใยแก้วนำแสงที่เพิ่มขึ้นจากการที่มีผู้เช่ารายอื่น  

 

 

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distributionธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน Sole Global Coordinator และผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศ กล่าวว่า กองทุน DIF จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมจากกลุ่มทรู ได้แก่ 1. กรรมสิทธิ์ในเสาโทรคมนาคมสำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 2,589 เสา 2. กรรมสิทธิ์ในใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable หรือ FOC) สำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตและบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตรวมประมาณ 590,305 คอร์กิโลเมตร และ 3. สิทธิการเช่าระยะยาวประมาณ 30 ปีในใยแก้วนำแสงสำหรับให้บริการอินเทอร์เน็ตประมาณ 619,986 คอร์กิโลเมตร รวมทั้งสิทธิการซื้อ (Call Option) ใยแก้วนำแสงดังกล่าว โดยมีราคาใช้สิทธิสำหรับซื้อกรรมสิทธิ์ในใยแก้วนำแสง 1,300 ล้านบาท

โดยล่าสุด สำนักงาน ... ได้พิจารณาอนุมัติการเสนอขายหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อย จึงได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นของหน่วยลงทุนใหม่ที่13.60 - 13.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Record Date) เมื่อวันที่ 17 เมษายน2561 ตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุน (Preferential Public Offering) และจะเสนอขายต่อนักลงทุนทั่วไปโดยในส่วนที่เป็นนักลงทุนรายย่อยจะมีการจัดสรรโดยวิธีSmall Lot First

ทั้งนี้ นับจากจัดตั้งกองทุนเป็นต้นมา กองทุน DIF มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมาตลอด โดยในปี 2557 - 2560 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยลงทุน (DPU) ที่ประมาณ 0.94 0.95 0.96 และ 0.98 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี สอดคล้องกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ที่มีแนวโน้มเติบโตด้วยเช่นเดียวกันโดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ     สิ้นปี 2556 – 2560 อยู่ที่10.0471 12.4161 12.3241 14.6191 และ 15.5630 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ

 

 

นายเอกภพ เมฆกัลจาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีม Markets Sales and Product Solutions สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชนในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศ กล่าวว่า 
หลังการลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 แล้วเสร็จ กองทุน DIF จะมีทรัพย์สินประกอบด้วย กรรมสิทธิ์และสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิในเสาโทรคมนาคม15,271 เสา กรรมสิทธิ์ สิทธิการเช่าระยะยาว และสิทธิการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิในใยแก้วนำแสงประมาณ 2.6 ล้านคอร์กิโลเมตร และกรรมสิทธิ์ในระบบบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด 1.2 ล้านพอร์ต ซึ่งจะเพิ่มความหลากหลายของทรัพย์สินและรองรับการใช้งานครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้ทรัพย์สินของกองทุน DIF มีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักยาวนานขึ้น โดยจะมีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักประมาณ 20 ปี ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานให้กองทุน DIF สามารถจัดสรรผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ หลังจากที่กองทุน DIF ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 แล้ว เชื่อว่าจะไม่เกิดEarning Dilution Effect ที่จะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนที่ลดลง เนื่องจากกองทุน DIF ลงทุนในทรัพย์สินที่สามารถนำไปจัดหาผลประโยชน์โดยการปล่อยเช่าให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมเพื่อสร้างรายได้ให้กองทุน DIFได้ทันที ซึ่งจากประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยลงทุน (ตั้งแต่ 1 .. 2561 – 30มิ.. 2562) จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 1.04 บาทต่อหน่วย เทียบกับเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนในปี 2560 (..-..) ซึ่งอยู่ที่ 0.98 บาทต่อหน่วย โดยจะส่งผลดีต่อผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

 

นายประเสริฐ ดีจงกิจ SVP ผู้จัดการ ฝ่ายทุนธนกิจ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศกล่าวว่า การเพิ่มทุนจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่กองทุน DIF จากการมีทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่หลากหลายและครอบคลุมการให้บริการด้านโทรคมนาคมแก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ได้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมการสื่อสารและโทรคมนาคมที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่กองทุน DIF มากยิ่งขึ้น

ล่าสุด กองทุน DIF จะมีการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่นักลงทุนรายย่อยในวันที่ 24 เมษายน 2561 เวลา  13.00 – 16.30 . หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนจะเปิดเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ระหว่างวันที่ 2 - 8พฤษภาคมนี้ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อระหว่างวันที่ 2 - 11 พฤษภาคมนี้ (เฉพาะวันทำการที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกรุงเทพ (BBL)ยกเว้นสาขาไมโครและธนาคารกรุงไทย (KTB) ทุกสาขาทั่วประเทศ

สำหรับผู้จองซื้อทั่วไปจะต้องชำระค่าจองซื้อหน่วยลงทุนที่ราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น คือที่ราคา 13.90 บาทต่อหน่วย ส่วนราคาเสนอขายสุดท้ายจะถูกกำหนดหลังจากสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งคาดว่าจะประกาศได้อย่างช้าในวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ทั้งนี้ หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า 13.90 บาทต่อหน่วย หรือหากไม่ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน นักลงทุนจะได้รับเงินค่าจองซื้อคืนภายใน 7วันทำการ     โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร หรือภายใน 10 วันทำการโดยการชำระเป็นเช็คหรือแคชเชียร์เช็คนับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการเสนอขาย (วันที่ 16 พฤษภาคม 2561)


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 23 เม.ย. 2561 เวลา : 12:22:46
28-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 28, 2024, 12:40 am