ผลจากการขยายตัวของดิจิทัลที่เข้าสู่อุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์   ทำให้การทำธุรกรรมของลูกค้าปรับเปลี่ยนจากการใช้บริการที่สาขา มาอยู่บนแพลตฟอร์มมือถือ   ซึ่งสัญญาณดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้น จากการทยอยปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์ 

โดยรายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า  จำนวนสาขาของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในเดือน พ.ค. 2561  มีจำนวน 6,724 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 2,010 แห่ง ภาคกลาง 2,159 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 926 แห่ง ภาคเหนือ 804 แห่ง และภาคใต้ 825 แห่ง  ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาขาธนาคารพาณิชย์ลดลง 207 แห่ง และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ธ.ค. 2560 ที่มีจำนวนสาขา อยู่ที่ 6,784 แห่ง พบว่าจำนวนสาขา ปรับลดลงเล็กน้อย 60 แห่ง เป็นการปรับลดลงในกรุงเทพฯ และภาคกลาง มากที่สุด

และเมื่อแยกตาม รายธนาคาร พบว่าธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาลดลงมากที่สุด โดย เดือน พ.ค. 2560 มีสาขา 1,170 สาขา  จากนั้นเดือน ธ.ค. ลดลงเหลือ 1,161 สาขา และล่าสุดในเดือน พ.ค. 2561 อยู่ที่ 1,070 สาขา หรือลดลง 100 แห่ง ในรอบ 1 ปี

สำหรับธนาคารกรุงไทยในรอบ 1 ปี สาขาลดลง 54 แห่ง จาก 1,174 สาขา เป็น 1,120 สาขา ธนาคารกสิกรไทย ลดลง 42 แห่ง จาก 1,076 สาขา เป็น 1,034 สาขา โดยเคยลดลงไปถึง 1,029 สาขาเมื่อสิ้นปี แต่เพิ่มขึ้นมาจากการมีสาขารูปแบบใหม่

ด้านธนาคารขนาดกลาง  สาขาก็ลดลงเช่นกัน   โดยธนาคารธนชาต สาขาลดลง 37 แห่ง จาก 555 สาขา เป็น 518 สาขา   ธนาคารทหารไทย ลดลง 19 แห่ง จาก 451 สาขา เหลือ 432 สาขา ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ลดลง 8 แห่ง จาก 92 สาขา เหลือ 84 สาขา

ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ  มีสาขาคงที่ 1,165 สาขา ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพิ่ม 6 แห่ง จาก 658 สาขา เป็น 664 สาขา ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจที่ต้องการมีสาขาที่เพียงพอและเหมาะสม

นายสารัชต์   รัตนาภรณ์  รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด ลูกค้า บุคคล และผู้บริหารสูงสุดเครือข่าย สาขา ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แผนงานเรื่องสาขาของธนาคารจาก ต้นปีจนถึงปัจจุบันเป็นไปตามที่วางไว้ โดยมีการปิดสาขาไปแล้วประมาณ 100 แห่ง  ซึ่งการปิดสาขาก็สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าที่หันไปทำธุรกรรมบนช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะโมบายแบงก์กิ้งมากขึ้น      

สำหรับช่วงที่เหลือของปี ไม่ได้ ตั้งเป้าว่าจะต้องปิดสาขาอีกจำนวน เท่าใด แต่จะติดตามสถานการณ์การทำธุรกรรมของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่ง หลังจากการยกเลิกค่าธรรมเนียม การทำธุรกรรมการเงินบนโมบาย แบงก์กิ้ง และอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ทำให้ ปริมาณธุรกรรมบนออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่การทำธุรกรรมในสาขาก็ลดลงชัดเจน