แบงก์-นอนแบงก์
องค์กรธุรกิจเล็งเห็นผลตอบแทนการเงิน จากการจัดการห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


องค์กรธุรกิจต่างๆทั่วโลกกำลังทบทวนการจัดการห่วงโซ่อุปทานของตนเองอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยมุ่งหวังด้านผลตอบแทนทางการเงิน ขณะที่ความโปร่งใสเป็นปัจจัยหลักคัดเลือกซัพพลายเออร์รายใหม่ โดย 85% ขององค์กรธุรกิจต้องการได้มาตรฐานด้านความยั่งยืนที่เป็นที่ยอมรับในวงอุตสาหกรรม


บรรดาองค์กรธุรกิจต่างๆ มีระบบนิเวศน์ของห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่ซับซ้อน และองค์กรธุรกิจขณะนี้กำลังมองหาความยั่งยืนเพื่อเพิ่มโอกาสการหาประโยชน์ทางการเงินใหม่ๆ สำหรับผลสำรวจใหม่ล่าสุดของ ธนาคารเอชเอสบีซี ในหัวข้อ “Navigator: Now, next and how for business” ที่ดำเนินการสำรวจบริษัทต่าง ๆ จำนวนกว่า 8,500 แห่งใน 34 ตลาดทั่วโลก พบว่าองค์กรธุรกิจมีแนวโน้มที่จะบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของตนเองให้เกิดความยั่งยืน เพื่อปรับปรุงผลกำไรของธุรกิจ

โดยเกือบ 1 ใน 3 หรือ 31% ของบริษัททั่วโลกมีแผนที่จะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานของตนเองในอีก 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้การสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนด้านจริยธรรมหรือสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานขององค์กรธุรกิจ มีแรงจูงใจที่สำคัญ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของต้นทุน หรือ 84% และการปรับปรุงผลประกอบการทางการเงินและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น หรือ 84%

แนวโน้มดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากลูกค้า เพื่อให้กระบวนการสรรหาวัตถุดิบของบริษัทเป็นไปอย่างยั่งยืนและโปร่งใสมากขึ้น ทั้งนี้จากสัดส่วนราวร้อยละ 80 ของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน สะท้อนว่า หลักฐานรับรองการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green credentials)ของซัพพลายเออร์รายสำคัญและพันธมิตรธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อชื่อเสียงและผลประกอบการของบริษัท

นายไบรอัน พาสโค ผู้อำนวยการบริหาร สายงานClient Coverage ธุรกิจพาณิชย์ธนกิจธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า “จากการที่บรรดาองค์กรธุรกิจต่าง ๆ พยายามค้นหาและลงทุนในวิถีทางที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต แนวคิดในลักษณะมงไปข้างหน้า (most forward thinking) จึงกำลังดำเนินไปสู่การลงมือปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่งความยั่งยืนไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทด้วย”

จากผลการสำรวจพบว่ากว่า 26% ของบริษัทที่ร่วมการสำรวจคำนึงถึงความโปร่งใสเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ เมื่อต้องการสรรหาซัพพลายเออร์รายใหม่ เนื่องจากผู้บริโภคอยากทราบถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบและวิธีการบริหารจัดการบุคลากร สัตว์ และสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต

นอกจากนี้ผู้กำกับนโยบายและนักลงทุนต่างๆกำลังกดดันบริษัทเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เปิดเผยแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนจากผลสำรวจที่พบว่า85%ของบริษัทต้องการดำเนินธุรกิจที่ได้มาตรฐานด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจหรือตลาด

เพื่อเป็นการตอบโจทย์ดังกล่าวบรรดาบริษัทในประเทศตลาดเกิดใหม่ต่างๆจึงมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะยกระดับมาตรฐานด้านจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้กว่า1ใน5 ขององค์กรธุรกิจ(ร้อยละ 21) ที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่มีแผนจะยกระดับมาตรฐานดังกล่าวในอีก 2 ปีข้างหน้า เทียบกับร้อยละ15ขององค์กรธุรกิจในตลาดที่พัฒนาแล้ว

จากการที่ 1 ใน 5 ของบริษัทหรือ20%ระบุว่า บริษัทของตนดำเนินนโยบายกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานของตนอย่างเข้มงวดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลนี้ได้สะท้อนถึงโอกาสที่เหมาะเจาะสำหรับองค์กรธุรกิจที่จะประเมินเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานของตนเองและบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ในสถานการณ์การค้าที่ต้องจับตาเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แผนดำเนินงานของบริษัทบางแห่งได้บรรลุผลสัมฤทธิ์แล้ว โดย 17% ของบริษัทที่ร่วมการสำรวจ อ้างว่าบริษัทของตนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นส่งผลดีหลายประการต่อธุรกิจ และบรรดาธนาคารต่างๆย่อมต้องมีบทบาทสนับสนุนธุรกิจด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เครือข่ายสาขา ความเชี่ยวชาญทางการเงิน เครื่องมือทางการเงิน และความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเอชเอสบีซี สามารถช่วยส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจทุกขนาด เพื่อบริหารจัดการธุรกิจอย่างยั่งยืนและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบัน

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 ธ.ค. 2561 เวลา : 22:11:41
26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 1:54 am