หุ้นทอง
'เอเซีย พลัส' คาดดัชนีปี62 เคลื่อนไหวระดับ 1,795 จุด แนะเพิ่มน้ำหนักลงหุ้นไทยเป็น 50%


บล.เอเซีย พลัสมองตลาดหุ้นไทยปี 2562 มีทิศทางดีขึ้น หลังตอบรับประเด็นสงครามการค้าไปแล้ว ขณะที่เชื่อว่า Fund Flow จะไหลกลับ และเศรษฐกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุน หลังผ่านการเลือกตั้งแล้ว มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1,795 จุด พร้อมแนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 50% เน้นหุ้นที่เติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศ

นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ขณะนี้ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะสงครามการค้าสหรัฐ กับจีนที่เป็นปัจจัยหลัก มีทิศทางที่ดีขึ้น หลังผู้นำทั้งสองประเทศเจรจากันในการประชุม G20 เมื่อต้นเดือน .. 2561 ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีท่าทีประนีประนอม

 

 

โดยสหรัฐยอมเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ออกไป 90 วัน ขณะที่จีนยินยอมซื้อสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมจากสหรัฐเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนรอบที่ 4 วงเงินอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ คาดจะพูดคุยกันอีกครั้งในเดือน เม.. 2562

เชื่อว่าผลกระทบจากสงครามการค้า สะท้อนผ่านการปรับฐานของตลาดหุ้นโลกหลายแห่งไปมากพอควรแล้ว โดยเฉพาะฝั่งเอเซียที่ปรับฐานลงแรง โดยรวมจึงเชื่อว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2562 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นนางสาวภรณี กล่าว

ส่วนในปีหน้าเชื่อว่า Fund Flow จะไหลกลับตลาดหุ้นเอเซีย โดยนับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา จากการที่สหรัฐฯ ส่งสัญญาณปรับลดมาตรการ QE ถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมูลค่ารวมสูงถึง 6.12 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติ ล่าสุดลดลงมาเหลือเพียง 29.57% แบ่งเป็นการถือครองที่ปิดโอนชื่อต่างชาติ 22.86% และถือครองผ่าน NVDR 6.71% จะเห็นได้ว่าแรงขายที่มีมาต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนการถือครองอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก

ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐเริ่มชะลอลง จากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงตั้งแต่เดือน เม..2561 บวกกับผลกระทบจากสงครามทางการค้าโลกกดดันกำลังซื้อ และราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงรวดเร็ว ทำให้เชื่อว่าใกล้สิ้นสุดวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น และส่งผลสืบเนื่องไปยังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Bond yield) ของสหรัฐเริ่มลดลง สวนทางเอเชียบางประเทศ ที่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพราะยังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ และเพื่อสกัดกั้นเงินทุนไหลออก

แม้ว่าสงครามการค้าจะกระทบ ทำให้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะขยายตัว 3.5% ชะลอตัวลงจาก 4% ในปี 2561 โดยภาคการส่งออกจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้น้อยลงนับจากนี้ แต่จะเห็นการลงทุนและการบริโภคครัวเรือนขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทน โดยในส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้น คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง จะยังเน้นไปที่ EEC ส่วนการลงทุนภาครัฐ น่าจะสานต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลชุดเก่าได้วางแผนระยะยาวไว้แล้ว


โดยคาดว่าในปี 2562-2565 จะมีเม็ดเงินจากการลงทุนในโครงการที่เหลืออยู่ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอีกราว 2 ล้านล้านบาท หรือราว 83.4% ของวงเงินทั้งหมด หรือเฉลี่ยปีละ 5 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังคงเดินหน้ากระตุ้นการบริโภคครัวเรือน จากการวางนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนหน้าที่ยังมีอยู่ จึงน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ขณะที่การเมืองไทย หลังเห็นกำหนดการนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในวันที่ 24 ..2562 แม้การเลือกตั้งครั้งนี้ มีโอกาสได้รัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง ทำให้มีเสถียรภาพน้อย แต่การได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง น่าจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจมากขึ้น

นางภรณี กล่าวด้วยว่า แม้เศรษฐกิจไทยปี 2562 จะเติบโตชะลอลงจากปี 2561 แต่ไทยยังมีจุดแข็งด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง รองรับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้นาน 11 เดือน และยังครอบคลุมหนี้สินต่างประเทศได้ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเซีย ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการปี 2562 แม้ประเมินว่าจะเติบโตเพียง 3.3% เมื่อเทียบจากปีก่อน เพราะมีการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันปี 2562 ลง 5 เหรียญสหรัฐฯ จาก 70 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล มาที่ 65 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ย 70.9 เหรียญฯ ในปี 2561 ส่งผลให้มีการปรับลดกำไรกลุ่มพลังงานลงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังปรับลดกำไรกลุ่มปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง และ ICT ลงเช่นกัน

โดยกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2562 จะลดลงเหลือ 112.2 บาทต่อหุ้น จากเดิม 115 บาทต่อหุ้น แต่ด้วยระดับ Expected P/E ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ราว 14.4 เท่า เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาค อีกทั้ง กระแส Fund Flow ที่น่าจะไหลกลับในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2562 จะช่วยหนุนให้ P/E ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปแตะ P/E 16 เท่าได้

จึงมองดัชนีฯ เป้าหมายปี 2562 ไว้ที่ 1,795 จุด พร้อมกับแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 50% จากเดิม 40% โดยมองความเสี่ยงภายนอกยังมีอยู่ จึงเน้นเลือกลงทุนหุ้นรายตัว ที่มีการเติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศ และเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น KBANK หุ้นส่งออกที่ปรับตัวจากผลกระทบการค้าโลกได้ เช่น HANA หุ้นสาธารณูปโภค เช่น SCC, STEC, WHA และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภาคครัวเรือน เช่น ADVANC, DTAC, BJC, CPALL, PLANB


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 20 ธ.ค. 2561 เวลา : 21:05:54
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 8:43 am