การตลาด
MAJOR ทุ่มงบ 30 ล้านบาทพัฒนาช่องทางดิจิทัลตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ในสิ้นปีนี้


MAJORตั้งเป้ารายได้ปี 62 โต 10% หลังเน้นทำตลาด Mobile Marketing พร้อมทุ่มงบ 30 ล้านบาท พัฒนาเทคโนโลยีช่องทางดิจิทัล คาดขยายฐานลูกค้าจองตั๋วผ่านAPP โตเป็น 20%


 
นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 62 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมจะเติบโต10%จากปีก่อน โดยจะมุ่งเน้นการทำการตลาดไปยัง Mobile Marketing เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟสไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเป็นไปตามนโยบาย MAJOR 5.0 คือ ทุกขั้นตอนการทำงานต้องเป็นดิจิทัลทั้งหมด ทุกอย่างต้องอยู่ในมือถือ จึงปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลา รวดเร็ว ไม่หยุดนิ่งและพยายามเข้าใจเทคโนโลยีและใช้ให้เกิดประโยชน์
 
"ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกปี การทำการตลาดก็ต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงไปกับลูกค้า เราต้องมีอะไรใหม่ๆเปลี่ยนโฉมใหม่รองรับการใช้บริการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเรามีแอพพลิเคชั่น Major Movie Plus ก็มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆอยู่ตลอด เช่น เพิ่มช่องทางการจองตั๋วหนังและการชำระเงินออนไลน์ ได้แก่ Facebook Ticketing, Major Chat Bot, Merchants Ticketing, QR Payment, Pay by Points และ Major Quick Payment ส่งผลให้ช่องทางการซื้อตั๋วหนังออนไลน์เติบโตขึ้น"

นายนรุตม์ กล่าวว่า บริษัททุ่มงบลงทุน 30 ล้านบาท พัฒนาเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัยเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเตรียมเปิดให้บริการแอพพลิเคชั่นใหม่ "Super App" ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นแรกของธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่นำระบบ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะทำให้การดูภาพยนตร์เป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถเข้าใจ เข้าถึงพฤติกรรมลูกค้าผู้ใช้งาน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนมี.ค.นี้ โดยตั้งเป้าจะมียอดดาวน์โหลดเพิ่มอีก 5 ล้านดาวน์โหลด จากปีก่อนที่มียอดการดาวน์โหลดของแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่นแรกอยู่ที่ 10 ล้านดาวน์โหลด และคาดมีจำนวนลูกค้าใช้บริการซื้อตั๋วภาพยนตร์ผ่านทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 20% หรือคิดเป็น 7.8 ล้านใบของเป้าหมายการซื้อตั๋วภาพยนตร์ในภาพรวมที่คาดจะอยู่ที่ 39.4 ล้านใบในปี 62 จากปีก่อนที่มีสัดส่วนการซื้อตั๋วภาพยนตร์ทางออนไลน์ 5-8% หรือคิดเป็น 2.5 ล้านใบ

 
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าในปี 62 จะมีสัดส่วนการซื้อตั๋วผ่านทางออนไลน์เพิ่มเป็น 20% และผ่านทางตู้อัตโนมัติ 75% ,ทาง Box Office 5% และหน้าเคาน์เตอร์ 5% โดยในปี 64 คาดว่าสัดส่วนการซื้อตั๋วผ่านทางออนไลน์จะขยับเพิ่มเป็น 50% และเป็น 80% ภายใน 3 ปีข้างหน้า

สำหรับแอพพลิเคชั่นใหม่ดังกล่าวได้"เอ็มเทล" ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้าน Digital Solution Provider อันดับหนึ่งจากประเทศฮ่องกง มาร่วมพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ผ่าน"เอ็มเทล ไทยแลนด์"ให้เป็น SmartApplication โดยจะเชื่อมโยงบริการและประสบการณ์ด้านภาพยนตร์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่บริการด้านโรงภาพยนตร์ ในการค้นหาข้อมูลภาพยนตร์ ตลอดจนการทำรายการซื้อบัตรชมภาพยนตร์และการมาใช้บริการที่โรงภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมเพื่อเพิ่มความสนุกในการใช้งาน โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ รวมถึงระบบสมาชิกที่มีสิทธิประโยชน์ และการแลกรับของรางวัลต่างๆที่ผู้ใช้งานสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองภายในแอพพลิเคชั่น

 
นายนรุตม์ กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าหมายให้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้กับโรงภาพยนตร์ในประเทศต่างๆ โดยปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศ เช่น จีน และอินเดีย ราว 3-4 ราย ในการเข้าไปพัฒนาแอพพลิเคชั่น ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน บริษัท เอ็มเทล ( ประเทศไทย) จำกัด โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 70% และเอ็มเทล โซลูชั่นส์ ถือหุ้น 30% เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น ซึ่งถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ม.ค. 2562 เวลา : 17:51:40
26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 2:51 pm