แบงก์-นอนแบงก์
"เกียรตินาคินภัทร"เปิดแผนธุรกิจปี62 ตั้งเป้าสินเชื่อโต8%


"เกียรตินาคินภัทร”เปิดแผนธุรกิจปี62 ตั้งเป้าสินเชื่อโต8% เดินหน้า 3 ธุรกิจหลัก สินเชื่อ ธุรกิจไพรเวทแบงก์และวาณิชธนกิจ  จับตาผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่


 
 
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่าปีนี้ตั้งเป้าสินเชื่อโตร้อยละ 8 ลดลงจากปีก่อนที่โตร้อยละ18.5 เนื่องจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคยังมีสัญญาณไม่ดี ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และอาจมีการควบคุมสินเชื่อประเภทอื่นเช่นสินเชื่อรถยนต์ ธนาคาร จึงตั้งเป้าการขยายตัวของสินเชื่ออย่างระมัดระวัง โดยสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารในปีนี้จะลดลงเหลือ 45% จากปีก่อนที่ 47% และคาดส่วนต่างดอกเบี้ยปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 4.5-4.7 ลดลงจากปีก่อนที่ร้อยละ 5 ซึ่งจะควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ต่ำกว่าร้อยละ 4 จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 4.1 ขณะเดียวกันจะเร่งธุรกิจ Private Bank ต่อยอดจากสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (AUA) ที่มีอยู่กว่า 650,000 ล้านบาท

 
 
 
โดยการขยายธุรกิจยังคงวางฐานอยู่ที่ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจสินเชื่อ เน้นขยายเฉพาะสินเชื่อกลุ่มที่ให้ผลกำไรเหมาะสมมากกว่าการเพิ่มยอดสินเชื่อโดยทั่วไป จึงได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 8%จากปีก่อนโต18.5%  2.ธุรกิจ Private Bank ซึ่งในปี 2561 KKP มียอดสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AUA) ที่รวมทั้งยอดเงินฝากของธนาคาร และสินทรัพย์ของลูกค้าภายใต้การบริหารที่ บลจ.ภัทร แล้ว สูงถึงกว่า 650,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในขณะที่การแข่งขันในธุรกิจนี้เข้มข้นขึ้นทั้งจากผู้เล่นที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ภายในประเทศ และไพรเวทแบงก์ต่างประเทศที่เข้ามาตั้งสำนักงานในไทย หรือให้บริการตรงจากต่างประเทศ 

ซึ่งKKPในฐานะผู้นำในธุรกิจนี้ซึ่งได้เปรียบจากการลงทุนพัฒนาความพร้อมในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง ได้พยายามรักษาจุดแข็งโดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า คาดว่าAUA จะเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าในระยะยาวจะเพิ่มขึ้นแตะ 1 ล้านล้านบาท
          
และ3. ธุรกิจ Wholesale & Investment Bank โดยปี 2561ที่ผ่านมานับเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีเป็นประวัติการณ์ เนื่องจาก บล.ภัทรได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่สำคัญระดับประเทศทั้งจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและทำรายการระดมทุนในตลาดทุน อาทิ โครงการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ ฟันด์ (TFFIF) หรือการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรกของ บมจ.โอสถสภา และบมจ.พระรามเก้า และปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง

 
 
นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายตลาดการเงินและรักษาการประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจสินเชื่อของธนาคารในปี 2561เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยขยายตัวที่ 18.5% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 โดยการขยายตัวมาจากสินเชื่อในทุกประเภท ในด้านคุณภาพของสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 6 ไตรมาสติดต่อกัน โดยมีปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่ 4.1% จาก 5% ณ สิ้นปี 2560
          
ทั้งนี้ ปี 2561 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 6,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปี 2560 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 5,123 ล้านบาท ลดลง 16.2% จากความผันผวนของตลาดทุน ทางด้านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรหลังหักเงินปันผลจ่ายครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 16.29% เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 12.49% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 4/2561 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.46% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.65%
         
 
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคลบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2562 น่าจะยังคงเติบโตได้ดีแต่มีทิศทางชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน  โดยการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในปีก่อน มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนและผลของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่วนภาคการบริโภคอาจได้รับแรงกดดันจากรายได้ภาคเกษตรที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนตัว และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงในขณะที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ 

 
 
ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ภาคการท่องเที่ยวที่อาจขยายตัวต่ำกว่าคาด สภาพคล่องในตลาดการเงินโลก ความผันผวนของค่าเงินบาทและความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้ว่าจะมีการประกาศวันเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.แต่ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากกฎการเลือกตั้ง และระยะเวลาก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ อาจทำให้นักลงทุนและผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย และทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกชะลอตัวได้ อย่างไรก็ตามหากการเลือกตั้งผ่านไปได้ด้วยดี การเร่งตัวของการลงทุนภาครัฐ การกระตุ้นทางการคลัง และการลงทุนภาคเอกชนอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ และลดผลกระทบด้านลบจากปัจจัยภายนอกได้บางส่วน
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 30 ม.ค. 2562 เวลา : 15:22:30
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 4:03 pm