BAYยอมรับเงินบาทมีโอกาสหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ หลังกระแสเงินทุนยังไหลเข้าต่อเนื่อง คาดทั้งปีเฉลี่ยที่ 30.50 แนะทางการใช้นโยบายการคลังลดการแข็งค่าของเงินบาท หนุนรัฐลงทุนโครงสร้างพื้้นฐาน เอกชนนำเข้าเครื่องจักร เพื่อศักยภาพการผลิต
นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกบอลมาร์เกสต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีความผันผวน และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด อาจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ค. 0.25% เดือนก.ย. 0.25% และในไตรมาส1 ปี 63 อีก 0.25% ทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยกดดันเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 30-31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้ และมีโอกาสหลุด30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาแตะที่ระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
เนื่องจากธนาคารหลักของโลก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดและธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบี มีแนวโน้มใช้นโยบายดอกเบี้ยผ่อนคลายหรือปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะไทย เพราะเป็นแหล่งพักเงินที่มีความปลอดภัยจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงถึง6%ของจีดีพี และมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากเกือบ 3 หมื่นล้านเหรียญ
โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 50,000 ล้านบาท ขณะที่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 20,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ขายหุ้นไทยสุทธิ 280,000 ล้านบาท ซื้อพันธบัตรสุทธิ 100,000 ล้านบาท
ส่วนทิศทางดอกเบี้ยในประเทศเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะคงดอกเบี้ยยโยบายตลอดปีนี้ เนื่องจากมีความกังวลด้านเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจากการประชุมครั้งล่าสุด กนง.ได้แสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน
สำหรับเครื่องมือที่ธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) จะนำมาใช้ในการดูแลค่าเงินบาทได้แก่ การแทรกแซงด้วยวาจา การเข้าซื้อดอลลาร์ในบางจังหวะเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าจนเกินไป แต่อาจดำเนินการได้ลำบากมากขึ้น เพราะถูกจับตาจากทางการสหรัฐ และมาตรการที่เข้มข้นมาก คือการดูแลเงินทุนที่ไหลผ่านบัญชีเงินบาทสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในต่างประเทศ รวมถึงนโยบายเก็บภาษีเงินทุนไหลเข้า
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแล โกบอลมาร์เกสต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่าปัจจุบันการใช้นโยบายการคลังมาดูแลค่าเงินบาทจะทำได้ดีกว่าการใช้นโยบายการเงิน โดยเฉพาะการนำเงินงบประมาณที่สามารถนำมาใช้ได้ที่มีประมาณ 9หมื่นล้านบาท มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หรือการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุน สนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะลดแรงกดดันค่าเงินบาทแล้ว ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวและเป็นการเพิ่มศักยภาพของประเทศอย่างยั่งยืน
ส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ล่าสุดธนาคารได้ปรับลดอัตราการขยายตัวลงมาอยู่ที่ 3.2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 3.4% ผลจากการส่งออกที่มีแนวโน้มติดลบ จากผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐกับจีน และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งคาดว่าปีนี้ส่งออกจะหดตัว 1.5%
ข่าวเด่น