เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EICปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือ 3.1% ส่งออกหดตัว1.6%


อีไอซีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือ 3.1% จากผลกระทบสงครามการค้าฉุดส่งออกหดตัวและการชะลอตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนที่มากกว่าคาด เชื่อ ธปท.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ในปี 62 มั่นใจหากจัดตั้งรัฐบาลสัปดาห์นี้จะช่วยดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน


ดร.ยรรยง ไทยเจริญ  รองผู้จัดการใหญ่ ผูบริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด) มหาชนหรือ อีไอซี ระบุว่าอีไอซีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือขยายตัว 3.1% จากประมาณการเดิมที่ 3.3% สาเหตุหลักจากภาคการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากภาวะการค้าและการลงทุนของโลกที่ชะลอลงจ โดยเฉพาะภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่มีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
 
โดยสหรัฐฯได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีจาก 10% เป็น 25% ในส่วนของสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีนก็มีมาตรการตอบโต้กลับด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่าราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 5-25% เช่นกัน และแม้ล่าสุดจากการประชุม G20 ช่วงปลายเดือนมิถุนายน ทางจีนและสหรัฐฯ ได้พักรบจากการขึ้นภาษีลงชั่วคราว แต่ยังมีโอกาสที่จะกลับมาปะทุและทวีความรุนแรงในช่วงข้างหน้า ทั้งนี้จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินในทิศทางผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น 

อย่างไรก็ดีคาดว่านโยบายผ่อนคลายดังกล่าวจะทำได้เพียงช่วยพยุงเศรษฐกิจเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อีไอซีจึงมีการปรับลดประมาณการอัตราขยายตัวของมูลค่าส่งออกเป็นหดตัวที่ -1.6% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 0.6% รวมทั้งได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเหลือ 40.1 ล้านคน หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ 4.8% และลดประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวตามการชะลอของเศรษฐกิจในหลายประเทศและการแข็งค่าของเงินบาท 
          
ขณะที่การใช้จ่ายในประเทศได้ชะลอลงตามอุปสงค์ด้านต่างประเทศเช่นกัน การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวตามการหดตัวของภาคส่งออก การชะลอตัวของโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่จากมาตรการ LTV และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังกังวลต่อประสิทธิภาพในการผลักดันและประสานนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลผสมใหม่ ทางด้านการลงทุนภาครัฐ อีไอซีคาดว่า การลงทุนด้านการก่อสร้างยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องที่ประมาณ 7.0% แต่จะถูกฉุดด้วยการลงทุนด้านเครื่องมือเครื่องจักรที่ไตรมาสแรกหดตัวกว่า -11.7% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน
 
ส่วนสถานการณ์การเมืองเชื่อว่าภายในสัปดาห์นี้จะจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และหากมีการประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนออกมา โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจำเป็นต้องเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเม็ดเงินที่เหมาะสมควรอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อประคองเศรษฐกิจในระดับฐานรากให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง   

สำหรับการบริโภคภาคเอกชนแม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานที่ขยายตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในส่วนที่เกิดขึ้นแล้วในไตรมาสที่ 2 และเพิ่มเติมหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่มีแนวโน้มชะลอตัวจากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 3.9% ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายสินค้าคงทนโดยเฉพาะการซื้อรถยนต์ที่ขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีความเสี่ยงที่การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง 
         
ด้านนโยบายการเงินอีไอซีคาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงที่อยู่ที่ 1.75% ในปี 2562 แต่มีโอกาสที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% หากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาด ความพยายามของ กนง. ในการทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นให้กลับไปสู่จุดดุลยภาพ (policy normalization) และเพื่อสะสมความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy room) คงต้องชะลอตัวออกไปตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกว่าคาดและมีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงิน อย่างไรก็ดีจากการประชุมครั้งล่าสุด กนง.ยังส่งสัญญาณค่อนข้าง hawkish โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงชั่วคราวในปีนี้ก่อนจะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า ตลอดจนยังคงแสดงความกังวลต่อเสถียรภาพระบบการเงินภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะประเด็นหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้นและการประเมินความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำเกินไป อีไอซี จึงประเมินในกรณีฐานว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ในช่วงครึ่งหลังของปี ควบคู่กับการใช้มาตรการเฉพาะจุด เช่น Macroprudential measure เพื่อดูแลปัญหาเสถียรภาพระบบการเงิน อย่างไรก็ดี อีไอซีประเมินว่าหากเศรษฐกิจไทยปี 2562 ชะลอลงมากกว่าที่คาดและขยายตัวต่ำกว่า 3% กนง.มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในช่วงปลายปีนี้เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ  

นอกจากนั้นอีไอซีประเมินว่าค่าเงินบาทจะยังได้รับแรงกดดันด้านแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารหลักและธนาคารกลางในภูมิภาค ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลสูง ตลอดจนเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้ามาเป็นช่วง ๆ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปี 
          
ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมาจากทั้งภายในและภายนอก โดยแม้ว่าล่าสุดหลังการประชุม G20 สถานการณ์ด้านสงครามการค้าจะปรับตัวดีขึ้นบ้างจากการที่สหรัฐฯ ประกาศว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมกับสินค้าของจีน แต่ความเสี่ยงด้านสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยอาจเพิ่มความรุนแรงได้เพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งจากการศึกษาผลประมาณการภายใต้สมมุติฐานต่าง ๆ (Scenario analysis)ของอีไอซีพบว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด (สถานการณ์ด้านสงครามการค้าแย่ลงมากกว่าที่คาดไว้เพิ่มเติม) ในปี 2562 การส่งออกของไทยมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัวมากถึง -3.1% และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจชะลอลงมาอยู่ที่ 2.7% 

นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกอื่นๆที่ต้องจับตาคือความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น Brexit และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน ที่อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดโภคภัณฑ์ของโลกได้ 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ก.ค. 2562 เวลา : 17:15:30
24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 2:59 am