การตลาด
สกู๊ป"ไทยเบฟ"เปิดยุทธศาสตร์ 30 ปี พัฒนาคน-ไอที เจาะกลุ่มเป้าหมายครึ่งโลก


 

 

เหลืออีกเพียงปีเศษๆบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)ก็จะก้าวเข้าสู่เป้าหมายของวิสัยทัศน์ 2020ที่ได้เคยประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจ ไทยเบฟฯ จะมีการแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 2 ระยะโดยแต่ละระยะก็จะใช้เวลาในการสานต่อนโยบายประมาณ 3 ปี ซึ่งในปี 2017 ที่ผ่านมา ไทยเบฟฯก็ได้บรรลุเป้าหมายของแผนระยะแรกไปเรียบร้อย และในปี 2020ที่จะถึงนี้แผนการดำเนินธุรกิจในระยะที่ 2ก็จะบรรลุเป้าหมายการเป็น Stable and Sustainable Asean Leader ในฐานะบริษัทไทยที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน  


จากความสำเร็จตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ผลประกอบการของไทยเบฟฯในช่วง 9 เดือนของปี 2019 (ตุลาคม 2561- มิถุนายน 2562)ที่ผ่านมานี้ ไทยเบฟฯมียอดขายรวมอยู่ที่ 205,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน18.2% EBITDA เพิ่มขึ้น 21.0% เป็น 36,265 ล้านบาท และ Net profit อยู่ที่ 21,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1%

 
 
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน)กล่าวว่าความภาคภูมิใจของกลุ่มไทยเบฟในปีนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจในระดับโลก เนื่องจากไทยเบฟฯได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับที่ 1 ของโลกในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและIndustry leader ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Marketsหรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 4 โดยไทยเบฟเป็นเพียงบริษัทเดียวในประเภทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของอาเซียนที่ได้รับการคัดเลือก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กรอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ที่ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของไทยเบฟ

ปัจจัยที่ทำให้ไทยเบฟฯประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการวางยุทธศาสตร์ผ่านวิสัยทัศน์ 2020 มีอยู่ด้วยกัน 5 เรื่องหลัก โดยในช่วง 3 ปีแรกไทยเบฟฯจะเน้นในเรื่องของ Growth การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและDiversity ความหลากหลายของสินค้าและตลาด ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธุรกิจของไทยเบฟฯมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทยและการขยายธุรกิจเข้าไปสู่ตลาดสำคัญในภูมิภาคอาเซียนอย่างเวียดนาและเมียนมาร์

นอกจากนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไทยเบฟฯยังได้ให้ความสำคัญกับ Brand และReach ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง คือ การตลาด (Marketing)และการขาย (Sale) จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีการทำงานควบคู่กันไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในด้านของการเพิ่มความเข้าใจผู้บริโภคและการเข้าถึงลูกค้า ซึ่งหลังจากปรับกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ ไทยเบฟฯสามารถผลักดันให้ผลประกอบการโดยรวมมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ ไทยเบฟฯให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ Professionalism ความเป็นมืออาชีพด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร เพราะธุรกิจจะขยายตัวได้องค์กรต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันไทยเบฟฯมีบุคลากรที่ทำงานให้กับบริษัทในเครือทั้งหมดมากกว่า 60,000 คนและยังคงเดินหน้าค้นหาคนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมงาน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปแบบไร้ขีดจำกัด

นายฐาปน กล่าวต่อว่าบริษัทยังจะเดินหน้าผลักดันให้มีระบบการสร้างคน ด้วยการทำ IDP Individual Development Program เป็นรายบุคคลและจัดให้มี Talent Management and Succession Plan programs  เพื่อช่วยให้คนของเราได้โอกาสในการพัฒนาหน้าที่การงาน เพราะธุรกิจยิ่งเติบโตไปเท่าไหร่โอกาสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งดังกล่าวถือเป็นความเชื่อของเรา ดังนั้นหน้าที่ของผมในฐานะเป็น CEO คือการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ให้กับพนักงาน ผู้บริหาร ตลอดจนคู่ค้าและพันธมิตรทุกภาคส่วน

 
 
 
 
จากความสำเร็จของวิสัยทัศน์ 2020 ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ไทยเบฟฯมองภาพต่อไปที่แผนการพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องไปที่ปี 2025 โดยในส่วนของกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ยังคงแบ่งแผนออก 2 ระยะเหมือนกับที่ผ่านมา คือ ระยะที่1เริ่มนับที่ปี 2020 - 2022 และระยะที่ 2 เริ่มนับที่ปี 2022-2025 ซึ่งแต่ละระยะจะแบ่งแผนออกเป็น 3 ปี โดยในปี 2020 นี้ไทยเบฟฯจะทำปิด Budget Plan ของแผน 2020 พร้อมกับสร้างพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในปี 2025

นายฐาปน กล่าวอีกว่าการที่เราจะไปถึง 2025ได้นั้นมีเรื่องสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือ1.การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิตอล ซึ่งวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีสิ่งใหม่ๆที่ให้โอกาสทางธุรกิจของเรา  2.การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงาน เพื่อก้าวเข้าสู่โลกของ Digital Age ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำและหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะโลกเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ดีการก้าวเข้าสู่โลกของ Digital Age ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทุกอย่างต้องมีความพร้อม โดยเฉพาะในด้านของบุคลากร ดังนั้นไทยเบฟฯจึงต้องมีความพร้อมและต้องมีการวางแผนด้านไอทีที่สมบูรณ์แบบเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในสเต็ปถัดไป คือ ปี 2030และปี 2050

นายฐาปน กล่าวว่าคนที่จะเป็นผู้บริหารในปี 2050หรือนับไปอีก 30 ปี เราต้องเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราจะทำ นอกจากนี้เรายังมีคนอีก 60,000 คนที่อยู่กับเรา ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อม ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในระบบงานของเรา ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีคนบางส่วนที่ต้องส่งเสริมเรื่องทักษะและศักยภาพ Upskill บางส่วนต้อง Reskill เพราะงานที่เขาทำอยู่ เช่นขับรถ Forklift ในโกดังของเรา วันข้างหน้ารถ Forklift อาจกลายเป็น Self-driving ทำให้พนักงาน ซึ่งอยู่กับเรามานานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนาทักษะด้านอื่นให้เขา เพื่อให้พวกเขายังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้

นอกจากเตรียมความพร้อมในด้านของคนแล้ว ไทยเบฟฯยังมองโอกาสในด้านการตลาดและการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้สอดคล้องกับโลกที่จะเปลี่ยนไปคือไม่มองเพียงตลาดอาเซียนที่จะมีประชากรสูงถึง 700 ล้านคน ภายในปี 2025 แต่จะมองไปถึงตลาดอาเซียน+6 ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่าครึ่งโลก รวมไปถึงการมองโอกาสการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของโลกผ่านโครงการสำคัญอย่าง Belt Road Initiative ของประเทศจีนอีกด้วย

 

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 12 ต.ค. 2562 เวลา : 07:23:25
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 6:57 pm