หุ้นทอง
EPS-GDP Growth ปี 63 เสี่ยงถูกปรับลดประมาณการลงอีก


สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2563 มีทิศทางชะลอตัวจากหลายปัจจัยรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็น COVID-19 ที่ยืดเยื้อกระทบต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยว การเมือง การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าและปัญหาภัยแล้ง จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเข้าสู่ภาวะ Recession

 
ล่าสุดวานนี้ (17 มี.ค.) สถาบันจัดอันดับ Fitch rating ได้ปรับลด Outlook ประเทศไทยจาก Positive (+) เป็น Stable (0) และคง Credit rating ที่ BBB+ และยังปรับลด GDP Growth ปี 2563 ลงมาเหลือ 1% จากเดิมคาด 2.4% เทียบกับฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส หรือ ASP ที่คาด GDP Growth ปี 2563 โต 1.6% yoy VS. Consensus คาดหดตัว 0.3% จนถึงโต 2.8%
ประมาณการ GDP Growth อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าส่งออกติดลบ 1.5% และนำเข้าติดลบ 0.5%, การบริโภคครัวเรือนบวก 1.7%, การลงทุนรัฐบวก 2%, การลงทุนเอกชนบวก 1.5%, การใช้จ่ายภาครัฐบวก 2.5% และราคาน้ำมันดิบที่ 65 ดอลลาร์บาร์เรล
 
 
 
 
ดังนั้นเศรษฐกิจไทย มี Downside จะถูกปรับลงอีก โดยฝ่ายวิจัยฯเห็นว่ายังมีความเสี่ยงมาจากสมมติฐานส่งออกและการบริโภคครัวเรือน ที่มีโอกาสหดตัวมากกว่าคาด ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงทบทวนประมาณการ ประเมินเบื้องต้นหากปรับลด การส่งออกหดตัวเป็น 5.5% และการบริโภคครัวเรือนติดลบ 2% โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ GDP Growth พลิกกลับมาหดตัว 0.6%
 
ฝ่ายวิจัยฯจึงคาดว่ารัฐบาลไทยจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในส่วนที่คาดว่าจะช่วยเหลือได้จะมาจากมาตรการคลังมากกว่า ตลาดคาดว่าจะเห็นการลดอัตราภาษีฯลฯ ขณะที่นโยบายการเงินคาดหวังจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่น้อยกว่า 0.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1% โดยการประชุมกนง.กำหนดไว้วันที่ 25 มี.ค.2563
จากความกังวล COVID-19 ที่เห็นชัดมากขึ้น จากการออกมาตรการควบคุมต่างๆของหลายๆประเทศ รวมถึงไทย ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่างๆ ยังตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางธุรกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัด
 
 
 
หาก COVID-19 ลากยาวออกไปเกิน 3-4 เดือน ถือเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรบริษัทบจ.โดยแบ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลักๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่  
1. หุ้นกลุ่มพลังงาน มี Market Cap ขนาดใหญ่ที่สุดและถือเป็นฐานกำไรหลักของตลาดโดยคาดกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมินสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบปี 2563 เฉลี่ย 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าสมมุติฐานทุกๆ 5 ดอลลาร์ จะกระทบต่อกำไรบจ.ราว 1 หมื่นล้านบาท
ล่าสุด ราคาน้ำมันเฉลี่ยดูไบ ytd อยู่ที่ 54.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และหากให้ราคาน้ำมันดิบยืนในระดับต่ำตามราคาปัจจุบันที่ 32.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจนถึงสิ้นปี 2563 ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 37.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถือยังเป็น Downside ต่อประมาณการกลุ่มพลังงาน
 
2. กลุ่มแบงก์พาณิชย์คาดมีกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท หากกนง. ปรับลดดอกเบี้ยลงทุกๆ 0.5% จะส่งผลต่อประมาณการกำไรราว 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงยังมีความเสี่ยงจากค่าใช่จ่ายตั้งสำรองหนี้สูญ (ECL) ที่อาจเพิ่มขึ้น 
ปัจจุบันสมมติฐาน ECL กลุ่มฯอยู่ที่ 1.23% (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ทุกๆ 0.1% ของ ECL ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้กลุ่มเพิ่มประมาณ 8% และทำให้กำไรสุทธิกลุ่มต่ำลงจากประมาณการเดิม 5%
 
3. กลุ่ม ICT เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของตลาด คาดมีกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท หากเศรษฐกิจชะลอลง ถือเป็นความเสี่ยงต่อรายได้ที่ลดลงตาม เนื่องจากรายได้ของหุ้นในกลุ่มมักจะเติบโตได้ดีกว่าตัวเลข GDP 2-3% หากเศรษฐกิจชะลอถือเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการ
 
4. กลุ่มขนส่งทางอากาศ และโรงแรม คาดมีกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท เดิมฝ่ายวิจัยฯประเมินว่า COVID-19 ยืดเยื้อ 3-4 เดือน ซึ่งหากยืดเยื้อ ฝ่ายวิจัยฯประเมินขยายไปทุกๆ 1 -2 เดือน จะกดดันกำไรบจ.ราว 1 หมื่นล้านบาท
 
โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ COVID-19 ยืดเยื้อจะกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและถือเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรบจ.

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 มี.ค. 2563 เวลา : 12:57:25
23-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 23, 2024, 7:38 pm