การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก ยังคงรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น ส่งผลจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1 ล้านรายแล้ว โดยสหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อ 244,681 ราย,อิตาลี 115,242 ราย, สเปน 112,065 ราย, เยอรมนี 84,794 ราย, ฝรั่งเศส 59,105 ราย ขณะที่ไทย 1,885 ราย
ส่งผลให้ทั่วโลกออกมาตรการคล้ายๆกัน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน โดยหลายบประเทศลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่บางประเทศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ผ่านการทำ QE ในวงเงินมากกว่าวิกฤตซับไพรม์
ทั้งนี้มาตรการคุมไวรัส COVID-19 จากทั่วโลกจำนวน 193 ประเทศ ล่าสุด มีราว 25 ประเทศ หรือ 13% ของประเทศทั่วโลก ประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว ทั้งการห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ, ห้ามประชาชนออกจากบ้านในระยะเวลาที่กำหนดเป็นต้น
ดังนั้น ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS ไปสำรวจข้อมูล พบว่าหลังจากที่รัฐบาลของประเทศต่างๆประกาศล็อกดาวน์ หรือประกาศเคอร์ฟิว โดยมีการกำหนดวันที่มีผลใช้บังคับ ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะปรับขึ้น เมื่อกลับมาดูตลาดหุ้นไทย วันนี้ (3 เม.ย.) ให้น้ำหนักกับการประชุมครม.นัดพิเศษ คาดว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 และ 4 ระยะเวลามาตรการ 6 เดือน คือไตรมาส 2 และไตรมาส 3 โดยเชื่อว่าจะครอบคลุม 4 ส่วน ได้แก่ SMEs, เกษตรกร, ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และมาตรการดูแลตลาดเงินและตลาดทุน
เบื้องต้นนี้ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 1.25 ล้านล้านบาท ดังนี้ 1.พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อกู้เงินราว 1 ล้านล้านบาท หากดูจากหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ปัจจุบันอยู่ที่ 41.27% โดยเฉพาะเพดานหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% ซึ่งอยู่ในกรอบสามารถทำได้
2.การจัดสรรโยกย้ายเงินงบประมาณปี 2563 ใหม่ โดยคาดว่าจะมีการโยกงบประมาณของแต่ละกระทรวงประมาณ 10% มาไว้ที่งบกลางและรวมโยกงบประมาณรายจ่ายลงทุนปี 2563 วงเงินราว 2 แสนล้านบาท เข้ามาเสริม ส่งผลให้รัฐจะมีงบประมาณอีกราว 2.5 แสนล้านบาท
โดยรวมแล้วเม็ดเงินจาก 2 ส่วนที่คาดว่าจะเข้าสู่ระบบ 1.2 แสนล้านบาท คาดว่าจะทำให้ GDP Growth ในปี 2563 ติดลบน้อยลง
ข่าวเด่น