เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
PwC ชี้ภาคธุรกิจเร่งบริหารต้นทุน-ปกป้องความปลอดภัยของพนักงานในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19


PwC แนะธุรกิจไทย ภายใต้วิกฤติCOVID-19 เน้นประคับประคองธุรกิจ บริหารสภาพคล่อง และดูแลพนักงาน เพื่อให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤตไปพร้อม ๆ กับองค์กร ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นซีเอฟโอ และผู้บริหารฝ่ายการเงินสหรัฐ-เม็กซิโก พบ 87% ห่วงไวรัสโควิด-19 กระทบธุรกิจทำรายได้และกำไรปีนี้หด ชี้หลายองค์กร เร่งงัดมาตรการทางการเงินออกมาใช้ ชะลอแผนลงทุน เน้นบริหารต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย และพบ 1 ใน 3 ของซีเอฟโอมีแผนเลิกจ้างพนักงาน

 


 
 
 
สำหรับความกังวลจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น นายนิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจไทยในขณะนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ไม่แตกต่างจากธุรกิจทั่วโลก

เขากล่าวต่อว่าแม้จะเป็นเรื่องยากลำบากในการประคับประคองธุรกิจในสถานการณ์ที่ซัพพลายเชนตึงตัว ท่ามกลางกำลังซื้อที่ค่อยๆหดหายตามการว่างงานที่เพิ่มขึ้นแต่ทุกองค์กรก็ทำงานอย่างดีที่สุดในการปรับกลยุทธ์ในทุกๆ มิติ เพื่อรับมือสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยากในเวลานี้

ดังนั้นสำหรับธุรกิจไทย เขาบอกด้วยว่าหากผู้ประกอบการที่ยังคงตั้งหลักไม่ถูก สิ่งแรกที่ต้องเร่งทำคือ การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในภาวะวิกฤต สำรวจและประเมินสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ และวางแผนบริหารจัดการต้นทุนทั้งในระยะสั้นถึงระยะกลาง

“และที่สำคัญที่สุด ดูแลพนักงานของตัวเองเพื่อให้พวกเขามั่นใจว่า พวกเขาจะได้รับการปกป้องและจะผ่านพ้นจากภาวะวิกฤตไปพร้อมๆกับองค์กร” นาย นิพันธ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน PwCได้จัดทำผลสำรวจ COVID-19 CFO Pulse Survey ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยสำรวจความคิดเห็นและมุมมองของประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินหรือซีเอฟโอ (Chief Financial Officer: CFO) รวมทั้งผู้บริหารทางการเงินอื่นๆเกี่ยวกับความกังวลจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19

ทั้งนี้หลังรวบรวมความคิดเห็นของผู้นำทางการเงินในสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกจำนวน 55 รายระหว่างวันที่ 23-25 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่าซีเอฟโอมีความกังวลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 87%ของซีเอฟโอมีความกังวลมากว่า การระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขา ขณะที่ 80% คาดว่า COVID-19 จะส่งผลให้รายได้ หรือกำไรปีนี้ลดลง ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 33 และ 22 จุดตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับผลจากการสำรวจครั้งก่อนเมื่อสัปดาห์ที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้องค์กรต่างๆกำลังเร่งปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ โดย 85% ของซีเอฟโอระบุว่าได้ดำเนินการทางการเงินอันเป็นผลมาจากวิกฤต COVID-19 โดยเน้นใช้มาตรการควบคุมต้นทุน (67%) และชะลอหรือยกเลิกแผนการลงทุน (58%) ออกไปก่อน

นอกจากนี้ยังใช้กลยุทธ์ด้านอื่นๆ เช่น ทบทวนค่าใช้จ่ายด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพื่อสินทรัพย์ทั่วไป รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และบุคลากร

ขณะที่ซีเอฟโอมากกว่าครึ่ง (56%)ยังคาดว่าจะเห็นมาตรการเยียวยาและผลประโยชน์ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับพนักงานมากขึ้น เพราะในขณะที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้ดำเนินการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันชดเชยกับการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและช่วยประคับประคองไม่ให้ธุรกิจล่ม บริษัทต่าง ๆ ก็มีปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ของพนักงานและประเมินทางเลือกอื่นๆ อย่างแข็งขัน เช่น ระงับการจ้างงานเพิ่ม ลดสัปดาห์การทำงาน พิจารณาลดเงินค่าจ้างและอื่น ๆ  

“ผู้นำธุรกิจเข้าใจว่า เป้าหมายขององค์กรก่อนเกิดวิกฤตไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะในเวลานี้ความสำคัญอันดับที่ 1 ของพวกเขาคือ การนำพาองค์กรและพนักงานให้ผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังขยายวงกว้างไปให้ได้” นาย ทิม ไรอัน ประธานและหุ้นส่วนอาวุโส PwC สหรัฐอเมริกา กล่าว

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือมีเพียง 16% ของซีเอฟโอที่ทำการสำรวจเท่านั้น ที่พิจารณาแผนการเลิกจ้างในเดือนเมษายน ในทางตรงกันข้าม พวกเขามุ่งเน้นไปที่การปกป้องสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ พนักงานและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ซึ่งนี่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับคืนมาโดยเร็ว

แม้ว่า 84%ของผู้บริหารทางการเงินจะมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่ผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่ (76%) ยังเชื่อมั่นว่า ธุรกิจของตนจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 3 เดือน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สิ้นสุดลงภายในวันนี้ ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลง 14 จุดจากผลสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา

บริษัทจำนวนมากกำลังต่อสู้กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและการดำเนินธุรกิจท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้ แม้ว่าความเชื่อมั่นของซีเอฟโอต่อความสามารถในการพลิกฟื้นธุรกิจให้ได้ภายในไม่กี่เดือนจะลดลงเรื่อย ๆ ก็ตาม

“ความสามารถในการชำระหนี้ ยังคงเป็นความกังวลอันดับต้นในสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และเราคาดว่าจะได้เห็นการออกมาตรการทางการเงินที่สำคัญ ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาความสามารถยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจในสัปดาห์ข้างหน้า”

สำหรับผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อกลยุทธ์การควบรวมและซื้อกิจการนั้น ยังคงมีความไม่ชัดเจนในขณะนี้ โดยผู้บริหารทางการเงินส่วนใหญ่ ยังคงประเมินสถานการณ์ หรือยังไม่เปลี่ยนแปลงแผนการดังกล่าว ส่วน 13% ของซีเอฟโอระบุว่า ยังคงมองหาโอกาสในการควบรวม และซื้อกิจการมากขึ้น

“หลังจากผ่านสภาวะช็อกในช่วงแรกมาได้ ผู้บริหารมองถึงอนาคตและเห็นว่า ยังมีบางธุรกิจ หรือสินทรัพย์บางประเภทที่มีพื้นฐานที่ดี และมีราคาน่าสนใจมากในตอนนี้ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า”

การขอสินเชื่อน่าจะยังคงดำเนินต่อไปบนพื้นฐานราคาและส่วนต่างของราคาซื้อและขายที่เหมาะสม ก่อนที่เราจะเห็นเครื่องยนต์ของการควบรวมและซื้อกิจการเร่งตัวขึ้นอย่างเต็มที่ แต่ด้วยสภาวะตลาดในปัจจุบัน เราคาดว่าจะเห็นการลดราคาแบบกระหน่ำเป็นจำนวนไม่มากนักในอนาคตใกล้

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลสำรวจซีเอฟโอและผู้บริหารทางการเงินจำนวน 55 คน พบว่า 80% ของผู้ถูกสำรวจมาจากบริษัทชั้นนำในทำเนียบฟอร์จูน 1000 และอีกส่วนหนึ่งมาจากองค์กรด้านสุขภาพที่ไม่แสวงหากำไร หรือ จากบริษัทเอกชน

นอกจากนี้ ผู้ถูกสำรวจ 45 คนมาจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่อีก 10 คนที่เหลือมาจากเม็กซิโก โดยผลสำรวจ PwC COVID-19 CFO Pulse Survey ถูกจัดทำขึ้นทุก ๆ 2 ครั้งต่อเดือนเพื่อติดตามความคิดเห็นและลำดับความสำคัญของผู้บริหารต่อผลกระทบของ COVID-19

นายนิพันธ์ กล่าวเสริมอีกว่าสำหรับผลสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอครั้งที่ 2 นี้ PwC ยังได้จัดทำผลสำรวจฉบับอาณาเขตต่าง ๆ (Multi-territory findings) นอกเหนือไปจากสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งได้ทำการสอบถามมุมมองความคิดเห็นของซีเอฟโออีก 153 รายใน 8 อาณาเขตและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ประกอบด้วย บาห์เรน เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ โปรตุเกส กาตาร์ สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ ไทย

โดยพบว่า 82% ของซีเอฟโอในประเทศเหล่านี้มีความกังวลว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ (เปรียบเทียบกับ 87% ของซีเอฟโอในสหรัฐฯ และเม็กซิโก)

“ขณะที่เกือบ 1 ใน 3 หรือ 32% คาดว่า มีแผนเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าสหรัฐฯ และเม็กซิโกถึงเท่าตัว”

ในส่วนของความกังวลสูงสุด 3 อันดับแรกจากผลกระทบวิกฤต COVID-19 นั้น ซีเอฟโอในประเทศเหล่านี้มองว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นความกังวลอันดับแรก (67%)
ตามมาด้วยอันดับที่ 2 ผลกระทบทางการเงิน ซึ่งรวมถึงผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในอนาคต สภาพคล่อง และแหล่งเงินทุน (61%)
และอันดับที่ 3 ผลกระทบต่อกำลังแรงงานและการลดลงของประสิทธิภาพการผลิต (44%) แต่ซีเอฟโอในประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ (75%) มั่นใจว่า ธุรกิจของตนจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 3 เดือน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สิ้นสุดลงภายในวันนี้
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 เม.ย. 2563 เวลา : 14:00:20
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 6:24 am