ยังคงแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรงสำหรับตลาดกาแฟสำเร็จรูป เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาบริโภคกาแฟมากขึ้น ส่งผลให้ปี 2562 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยมีอัตราการบริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300 แก้วต่อคนต่อปี และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวส่งผลให้บริษัท ยาคอบส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์กส์ ทีเอช จำกัดหรือ “เจดีอี ทีเอช” เจ้าของธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟภายใต้แบรนด์ “ซุปเปอร์กาแฟ” เล็งเห็นโอกาสที่จะก้าวเข้ามาทำตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปอย่างจริงจัง หลังจากทำการตลาดเงียบๆ มาพักใหญ่ ภายหลังควบรวมกิจการกับ SUPER GROUP LTD ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ 3 ปีก่อน ส่งผลให้ “เจดีอี ทีเอช” กลายเป็นผู้จัดจำหน่ายแบรนด์ซุปเปอร์กาแฟอย่างเป็นทางการผู้เดียวในประเทศไทย
ความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ “เจดีอี ทีเอช” มีความมั่นใจการทำตลาดกาแฟในประเทศไทยมากขึ้น โดยล่าสุดได้ออกมาประกาศแผนเชิงรุกทวงบัลลังก์แชมป์ Top of Mind ภายใต้วิชั่น 2563-2564
นายพิศาล ธาราพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยาคอบส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์กส์ ทีเอช จำกัด กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ปี 2563-2564 บริษัทมีแผนที่จะผลักดันผลิตภัณฑ์กาแฟทุกแบรนด์ของ “เจดีอี ทีเอช” ประกอบด้วย แบรนด์มอคโคน่า (Moccona), ซุปเปอร์กาแฟ (Super Coffee), เอสเซนโซ่ (Essenso) และ ลอร์ (L’OR) เข้าทำตลาดอย่างจริงจัง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเน้นไปที่ตลาดระดับกลางเป็นหลัก
สำหรับช่องทางการทำตลาดที่จะเน้นมากขึ้นในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปี 2563 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 นั้น “ยาคอบส์” จะเน้นไปที่ผู้บริโภคในกลุ่มคนเมืองและต่างจังหวัด เพราะมีโอกาสทำการตลาดที่จะประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวมีพฤติกรรมชอบซื้อสินค้าที่ราคาคุ้มค่า
นอกจากนี้ “ยาคอบส์” ยังจะดำเนินการปรับโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอสินค้าให้มีความแข็งแรง และมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
นายพิศาล กล่าวต่อว่า เป้าหมายในการออกมาทำการตลาดในครั้งนี้ คือ การทำให้แบรนด์ซุปเปอร์กาแฟ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายระดับกลางทั่วประเทศ และครองใจผู้บริโภคอันดับหนึ่ง (Top of Mind) ซึ่งกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้เพื่อผลักดันให้แบรนด์ซุปเปอร์กาแฟไปถึงจุดดังกล่าว คือ การชูจุดเด่นในด้านของรสชาติกาแฟแท้
ขณะเดียวกัน ก็จะเดินหน้าทำกิจกรรมการตลาด และกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้า และเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครบวงจรก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ “ยาคอบส์” จะให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสินค้ายังไม่เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเหมือนอย่างที่เคยวางแผนไว้
ด้าน น.ส.ปนัดดา ตุงคสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยาคอบส์ ดาวเออร์ เอ็กเบิร์กส์ ทีเอช กล่าวว่า แผนการตลาดของผลิตภัณฑ์ซุปเปอร์กาแฟในปีนี้ บริษัทจะเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยล่าสุดได้เปิดตัวแคมเปญ “ซุปเปอร์กาแฟ เคียงคู่สู้กับคุณทุกวัน” พร้อมกับดึง “เวียร์ - ศุกลวัฒน์ คณารศ” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจาก “เวียร์” มีคาแร็กเตอร์สะท้อนความเป็นแบรนด์ของซุปเปอร์กาแฟ คือ การมีพลังขับเคลื่อนจากภายในที่สื่อสารไปยังนักสู้ชีวิตทุกคน (Everyday Fighter)
ทั้งนี้ หลังจากออกมาทำการตลาดแบบ 360 องศา ภายใต้งบประมาณ 500 ล้านบาท “ยาคอบส์” มั่นใจว่าจะสามารถขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายไปตามจังหวัดต่างๆ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้าได้สำเร็จ เนื่องจาก “ยาคอบส์” มีการใช้ช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป
น.ส.ปนัดดา กล่าวอีกว่า เราจะทำการตลาดแบบครบวงจร 360 องศา ทั้งสื่อออนไลน์ และสื่อออฟไลน์ เพื่อให้สินค้าเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งในส่วนของตัวกาแฟสำเร็จรูปที่จะนำมาทำตลาดในครั้งนี้ คือ แบรนด์ซุปเปอร์กาแฟ แบบปรุงสำเร็จรูป 3 อิน 1, แบรนด์ซุปเปอร์กาแฟพร้อมดื่ม และ เครื่องดื่มธัญญาหารซีเรียลตราซุปเปอร์ เป็นต้น
ปัจจุบันภาพรวมตลาดกาแฟของไทยยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันคนไทยมีอัตราการบริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300 แก้วต่อคนต่อปี และมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าผู้บริโภคชาวไทยจะมีอัตราการเฉลี่ยบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้น แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับประเทศในแถบยุโรปถือว่ายังน้อยมาก เนื่องจากชาวยุโรปมีอัตราการบริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 600 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งประเทศที่มีการบริโภคกาแฟสูงสุดในยุโรป คือ ฟินแลนด์ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 ก้าวต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศในแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นเองก็มีอัตราการบริโภคกาแฟสูงกว่าไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400 แก้วต่อคนต่อปี
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมภาพรวมตลาดกาแฟในประเทศไทยจึงมีความคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นตลาดกาแฟสำเร็จรูป ตลาดกาแฟสด หรือตลาดร้านกาแฟ เพราะทุกคนต่างมองเห็นโอกาสจากตลาดนี้
สำหรับภาพรวมตลาดกาแฟของไทยในปี 2562 ที่ผ่านมา ในส่วนของตลาดกาแฟสำเร็จรูปมีมูลค่ารวมประมาณ 21,272 ล้านบาท เติบโต 1.5% จากปีก่อน ในมูลค่าดังกล่าวมีตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จ 3 อิน 1 (3-in-1) ครองสัดส่วนตลาดมากที่สุดประมาณ 76% ซึ่งในส่วนของตลาดดังกล่าวแบรนด์มอคโคน่า และแบรนด์ซุปเปอร์กาแฟ มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันอยู่ที่ประมาณ 21%
การออกมาประกาศยุทศาสตร์เชิงรุกในครั้งนี้จะทำให้แบรนด์ซุปเปอร์กาแฟ “ทวงแชมป์ Top of Mind” ได้ภายในปี 2564 ได้หรือไม่ ปีหน้าคงได้รู้ผล เพราะระหว่างทางยังมีอะไรให้ต้องพิสูจน์ความแข็งแกร่งทางการตลาดอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค กำลังซื้อ สภาพเศรษฐกิจ หรือโรคระบาดโควิด-19 ที่กำลังเจอยู่ในตอนนี้ ซึ่งถ้าหากแบรนด์ซุปเปอร์กาแฟสามารถผ่านไปได้ชัยชนะที่จะคว้ามาก็อยู่แค่เอื้อม
ข่าวเด่น