หุ้นทอง
นวัตกรรม : ความหวังใหม่เพื่อฟื้นฟูไทยกลับมา (ตอนที่ 1)


สถานการณ์ COVID-19 ที่กำลังเกิดขึ้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ “ช็อก” โลกและไทยทั้งในมิติทั้งเศรษฐกิจสังคมและการสาธารณสุข ในทางเศรษฐกิจถือว่าก่อผลกระทบทางลบอย่างรุนแรง เพราะประเทศไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวอย่างมาก อีกทั้งก่อนเหตุการณ์ COVID-19 เองโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยก็อยู่ในขั้นอ่อนแออยู่แล้ว เนื่องจาก Disruptive Technologies ได้ทำให้สินค้าและบริการของไทยหลายชนิดเกิดความล้าสมัย ธุรกิจหลายประเภทเกิดความตกต่ำ และบางกรณีถึงขั้นตายจากไป
 

“นวัตกรรม” ถูกพูดถึงว่าจะเป็นทางรอดเป็นความหวังใหม่ที่จะฟื้นฟูไทยให้กลับมาผงาดได้ แม้ว่าในอดีตที่ผ่านมา ไทยอาจจะไม่ใช่ประเทศที่ยิ่งใหญ่ในการประดิษฐ์หรือสร้างนวัตกรรมเท่าใดนัก แต่การที่สินค้าไทยหลายชนิด เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค บริการด้าน Hospitality เป็นต้น มีความโดดเด่นมากๆ มันคือ นวัตกรรมรูปแบบหนึ่ง ที่คนไทยสามารถภูมิใจได้ เพียงแต่ในยุค Digital Economy ที่กำลังมาถึงนี้ 

คนไทยต้องหันกลับมาทบทวนว่า เราจะสร้าง หรือยกระดับนวัตกรรมครั้งใหม่ของเราอย่างไรบ้าง ชุดบทความของผมต่อไปนี้ จะลองพยายามหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ “นวัตกรรม” มาเผื่อจะเป็นประโยชน์ในการพลิกโฉมประเทศไทย ให้หลุดพ้นจากสภาพปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

1) ความหมาย

ข้อมูลจาก Wikipedia อธิบายว่า นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง “ความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการที่แสดงออกมาในรูปแบบของสิ่งประดิษฐ์ (Device) หรือวิธีการ (Method)” บ่อยครั้งอาจแสดงเป็นคำสมัยใหม่ของยุคนี้ คือ “Application of better solutions” เพื่อตอบสนองความต้องการที่มีอยู่มทั้งที่ชัดแจ้ง (Existing) และไม่ชัดเจน (Uncerticulated หรือ Unmet) นวัตกรรมอาจอยู่ในลักษณะของผลิตภัณฑ์ (Product) บริการ (Service) กระบวนการ (Process) หรือแบบจำลองทางธุรกิจ (Business model) ก็ได้

นวัตกรรม อาจเป็นสิ่งที่คิดขึ้นมาใหม่ (Something Original) หรือปรับปรุงของเดิมขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (More effective) แต่ควรจะเป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดผลกระทบทางบวกในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคม “Breaks into market or society” เช่นการเกิดขึ้นของหลอดไฟ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือยุค Analog โทรศัพท์มือถือ Smart phone ยุค Digital เป็นต้น

2) Disruptive และ Disruptive Innovations

ประเภทของนวัตกรรมนอกจากจะมองเป็นแบบ product ,service, process แล้ว สามารถเพิ่มความลึกออกเป็น Sustaining Innovation และ Disruptive Innovation

Sustaining Innovation เป็นการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือบริการจากความต้องการในลักษณะ “known needs” ของลูกค้า เช่น ทีวีจอแบน หรือ Smart phone ที่มีกำลังหรือฟังก์ชันที่ทำงานได้ดีขึ้น

Disruptive Innovation เป็นการพัฒนานวัตกรรมผ่าน “กระบวนการแบบใหม่” เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือ บริการใหม่ ที่ช่วยสร้างตลาดใหม่หรือลูกค้าใหม่ เช่น การเกิดขึ้นของวิทยุทรานซิสเตอร์ในอดีต การเกิดขึ้นของ Smart phone อย่าง iPhone ครั้งแรก ที่คนคาดไม่ถึงว่า จะเปลี่ยนแปลงโลกของโทรศัพท์มือถือไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และยังส่งผลต่อธุรกิจอื่นๆ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองตามมาอีกมากมาย และ Disruptive Innovation นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ธุรกิจต่างๆ พากันลงทุนทำวิจัยเพื่อค้นหา เพราะจะมีผลต่อความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจ
 

3) ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ นวัตกรรม

“นวัตกรรม” ที่มนุษยชาติได้สร้างขึ้นมีส่วนสำคัญในการ “เปลี่ยนโลก” มาได้หลายครั้ง เช่น การปฏิรูปที่ดินริมลุ่มแม่น้ำและใช้เทคนิคการปลูกธัญพืชเป็นแปลง ทำให้ได้ผลผลิตมากๆ เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อน ทำให้เกิด “Green Revolution” และส่งผลให้เกิดแหล่งอารยธรรมโบราณตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ ในโลก เช่น ลุ่มแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ ลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมียในอิรัก ลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาในอินเดีย ลุ่มแม่น้ำฮวงโหและแยงซีเกียงในจีน เป็นต้น

“นวัตกรรม” ครั้งใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลกได้อีกครั้ง ก็คือ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่เรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ซึ่งกินเวลาต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 300 ปี ตั้งแต่การคิดเครื่องจักรไอน้ำไฟฟ้า รถไฟ รถยนต์ เป็นต้น ส่งผลต่อการเดินทาง ขนส่ง การผลิต ทำให้ประเทศที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะทางซีกโลกตะวันตก กลายเป็นมหาอำนาจ เพราะนวัตกรรมส่วนหนึ่งที่ตามมา เช่น เรือรบ ปืน อาวุธต่างๆ จึงใช้เพื่อล่าอาณานิคมให้ป้อนวัตถุดิบให้แก่ประเทศของตน 

ในมิติทางเศรษฐศาสตร์ นวัตกรรมซึ่งเกิดขึ้นในยุคนี้ได้ก่อเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างมหาศาล มีการใช้วัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น แรงงานมนุษย์ถูกโยกย้ายจากภาคการเกษตร เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องจักร เกิดสินค้าและบริการที่นำออกมาสู่ตลาดสินค้าและบริการอย่างมากมาย ตลาดการเงินก็ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับปริมาณการค้าที่มีมากขึ้น เศรษฐกิจของโลกจึงมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต

“นวัตกรรม” ที่กำลังเกิดขึ้นครั้งใหม่ต่อจากนี้ไปถึงอนาคต เป็นร่องรอยจากการค่อยๆ พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วยทำให้การประมวลผลข้อมูลทำได้ง่าย และเมื่อเชื่อมไปสู่การพัฒนาการสื่อสารในรูปแบบใหม่ๆ ทำให้ทั้ง Computer, Information Technology, Telephone, Telecom Technology เป็นต้น บูรณาการเข้าหากันจนสามารถเริ่มเปลี่ยนโลกอุตสาหกรรมเดิมที่พัฒนามา 300 ปี และเรียกยุคนี้ว่า Analog Economy เข้าสู่ยุค “Digital Economy”
 

นักวิชาการหลายท่าน เห็นว่า Analog Economy ผ่านการเปลี่ยนผ่านการปฏิวัติโดยอาศัยนวัตกรรมมา 3 ช่วง จึงเรียกเป็นช่วงอุตสาหกรรม 1.0 2.0 และ 3.0 และเรียกยุค Digital Economy นี้ว่า โลกอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งสำหรับผมไม่ขัดข้องครับ ขอให้เราเข้าใจก็พอว่า เรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุคใหม่กัน และนวัตกรรมก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้ยุคนี้ต่างจากยุคที่ผ่านมา คำถามก็คือ คนไทยจะได้เรียนรู้ พัฒนา และใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมในยุคใหม่นี้ เพื่อไปสู่จุดที่ดีกว่าของเศรษฐกิจและสังคมของเราอย่างไร
 
รศ (พิเศษ) ดร. กฤษฎา เสกตระกูล, CFP®

LastUpdate 22/09/2563 12:21:05 โดย : Admin
24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 11:47 pm