หุ้นทอง
กองทุน Healthcare สู่ กองทุน Health Tech


กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถือเป็นกองทุนที่คุ้นชินกับมนุษย์เงินเดือน แต่ก็ยังมีมนุษย์บางคนที่ไม่ได้ติดตามว่าในแต่ละเดือนตัวเองได้ส่งเงินสะสมเข้ากองทุนเท่าไหร่ หรือลืมชนิดที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้เลือกนโยบายการลงทุนอะไรไว้


 
ซึ่งถ้าวันเวลาผ่านไปและผลตอบแทนยังคงเป็นบวกต่อเนื่องก็คงไม่เกิดปัญหา แต่ถ้าผลตอบแทนจากบวกเป็นติดลบคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องเข้าไปจัดการดูแลเพื่อทำให้เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพงอกเงยขึ้นตามที่ต้องการ

มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ และคุณธนัฐ ศิริวรางกูร บอกว่า ถ้าหากพูดถึงการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ก็คงหนีไม่พ้นกองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต รองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Work From Home หรือ Work From Anywhere ก็ตาม หรือแม้แต่การซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น รวมถึงการดูแลสุขภาพของคนทั่วไปนั่นเอง
 
ดังนั้น กองทุนรวมในหมวดอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น กองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, กองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และกองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ หรือ Healthcare จึงได้รับความนิยมมากขึ้นตามไปด้วย
 
กองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ มีการเติบโตของราคาหุ้นที่สูงมาก แน่นอนว่าการที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นก็ทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้นตามไปด้วย และก็มีโอกาสที่จะลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามความคาดหวัง โดยเฉพาะคนที่ลงทุนภายหลังจากที่ราคาหุ้นใน 2 กลุ่มนี้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากแล้ว
 
แต่กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตได้ และเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปทั้งก่อนและหลังการระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นก็คือ กองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ หรือ Healthcare นั่นเอง โดยจากรายงานของ Deloitte พบว่าในช่วงปี 2013-2017 การเติบโตของกลุ่ม Healthcare อยู่ที่ประมาณ 2.9%

และมีโอกาสเติบโตได้หลังจากปี 2018-2022 สูงถึง 5.4% ทั้งนี้ก็เพราะการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลกนั้นสูงมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากสังคมผู้สูงอายุ และโรคที่ไม่ติดต่อ และเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคหัวใจนั้นมีสูงมากขึ้น
 
ดังนั้น ถ้าหากไปดูรายละเอียดให้มากขึ้น เช่น ดูงบการเงินของบริษัทในกลุ่ม Healthcare ก็จะพบว่า มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น หรือ EPS สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ถึงจะไม่หวือหวา แต่ก็สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับนักลงทุนได้
  
และเมื่อมีการระบาดของไวรัส COVID-19 ก็ทำให้กลุ่ม Healthcare เติบโตมากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหลายมีผลกระทบต่อภาพรวมของกลุ่มเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ การผลิตวัคซีนใหม่ๆ รวมไปถึงแนวการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานมากขึ้นไปด้วย จึงเป็นที่มาของการที่หุ้นในกลุ่ม Healthcare ได้พัฒนาไปสู่ Health Tech มากขึ้น
 
หลาย ๆ ท่านอาจจะคุ้นเคยกับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นส่วนใหญ่ โดยจะเป็นกองทุนที่ลงทุนในกลุ่มบริษัทยา บริษัทวัคซีน หุ้นกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ และกลุ่ม Healthcare Service เช่น ประกันสุขภาพ รวมไปถึงกลุ่มโรงพยาบาล 
 
 
แต่สำหรับกลุ่ม Health Tech นั้น จะเป็นการขยายบริการต่าง ๆ จากเดิมที่เคยอยู่ในบริษัทยา หรือวัคซีนออกมาให้คนทั่วไปได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์มากขึ้น เช่น การคุย หรือ ปรึกษาเรื่องโรคต่าง ๆ แบบออนไลน์ หรือที่เราเรียกว่า Tele-Medicine รวมไปถึงการสั่งยาแบบออนไลน์หลังจากที่ปรึกษาหมอแบบออนไลน์ไปแล้วด้วยเช่นกัน
 
ดังนั้นในกลุ่ม Health Tech นั้น ก็เปรียบเสมือนการพัฒนาต่อยอดจาก Healthcare แบบดั้งเดิมนั่นเอง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็มักจะไป Disrupt บางส่วนของธุรกิจเดิมด้วยเช่นกัน เพราะแทนที่โรงพยาบาลจะได้เงินมากขึ้นจากที่คนมาหาหมอ กลายเป็นว่าจ่ายค่าพบแพทย์ทาง Application หรือ Platform แทนนั่นเอง

ซึ่งความน่าสนใจของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะว่าในปัจจุบันนี้การใช้หุ่นยนต์หรือแขนกล (Robotic) และ AI เข้ามาช่วยในการผ่าตัด ก็เริ่มมีมากขึ้น ที่สำคัญคือมีความแม่นยำมากกว่ามนุษย์เสียด้วย
 
นอกจากนี้ การพัฒนาในกลุ่ม Health Tech ก็จะเข้าสู่การนำ Big Data มาใช้ โดยนำข้อมูลมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น เช่น Smart Watch หรือ Smart Home ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลมาจัดทำเป็น EMR หรือ Electronic Medical Record เพื่อวิเคราะห์สุขภาพและทำนายการเกิดโรคต่าง ๆ รวมไปถึง แนะนำโปรแกรมการออกกำลังกาย การทานอาหาร เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ 
 
และในกลุ่ม Health Tech เหล่านี้ยังรวมถึงกลุ่ม Deep Technology ด้านการตรวจสุขภาพ หรือวิเคราะห์ พร้อมการรักษาโรคด้วยยีน (Gene Therapy) การรักษาโรคมะเร็งโดยที่ใช้เทคนิคอื่น ๆ นอกจากการรักษาด้วยคีโม เช่น Nano-Motor ไปเจาะเซลล์มะเร็งแทน รวมไปถึงการตัดต่อพันธุกรรม CRISPR (Clustered Regularly Interspaced Short Palindromic Repeats) เพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ อีกด้วย
 
ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นกลุ่ม Health Tech ก็ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมากในการลงทุนระยะยาว เพราะสิ่งเหล่านี้จะอยู่และพัฒนาไปเพื่อเสริมสร้างสุขภาพของเราในอนาคตอย่างแน่นอน
  
โดยวิธีการพิจารณาการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นกลุ่ม Health Tech เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนระยะยาว ก็คือ

1. ต้องเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนรวมที่เรากำลังจะลงทุนก่อน 

เนื่องจากแต่ละกองทุนจะมีแนวคิดการลงทุนที่ไม่เหมือนกันเลย บางกองทุนอาจจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Gene Therapy มากกว่ากลุ่มของ Tele-Medicine หรือ บางกองทุนก็เน้นหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อให้ความเสี่ยงไม่สูงมาก บางกองทุนก็อาจจะเลือกบริษัทขนาดกลาง-เล็ก เพื่อให้สร้างผลตอบแทนได้สูง บางกองทุนจะเน้นลงทุนใน Health Tech ในจีน บางกองทุนอาจจะเน้นลงทุนในสหรัฐอเมริกามากกว่า ทั้งนี้ก็จะมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องข้อมูล และกฏหมาย การพัฒนาของ Healthcare ที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย
 
ดังนั้น ก่อนลงทุน นักลงทุนเองต้องเข้าใจกองทุนที่เราจะลงทุนก่อนว่าเป็นกองทุนแบบไหน สไตล์การบริหารจัดการเป็นอย่างไร

2. พิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังระยะยาวของกองทุน

ถึงแม้ว่ากองทุนจะมีนโยบายแตกต่างกัน จุดเด่นไม่เหมือนกัน แต่การเลือกกองทุน เราต้องพิจารณาถึงผลตอบแทนย้อนหลังที่เปรียบเสมือนข้อพิสูจน์ว่า นโยบายของกองทุนที่เราเลือกมานั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีและสม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน หากนโยบายการลงทุนดูดี แต่ผลตอบแทนไม่ดี เราคงไม่ลงทุนด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้านโยบายการลงทุนของกองทุนดีและมีผลตอบแทนที่ดีด้วย ก็ทำให้เราสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจขึ้น
 
3. ต้องดูค่าธรรมเนียมของกองทุน

ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก ๆ สำหรับกองทุน Health Tech เนื่องจากเราจะลงทุนระยะยาวกับกองทุนในกลุ่มนี้ ดังนั้น หากค่าธรรมเนียมแพงเกินไป ในระยะยาวผลตอบแทนที่ได้อาจจะไม่คุ้มค่า ซึ่งหากนักลงทุนสนใจกองทุนกลุ่ม Health Tech ที่ส่วนใหญ่เป็นกองทุน FIF (Foreign Investment Fund) นักลงทุนเองก็ควรที่จะพิจารณาค่าธรรมเนียมทั้งในส่วนของ Master Fund และค่าธรรมเนียมที่ บลจ. ในไทยเก็บ (ค่าธรรมเนียมรวม) เพื่อให้ได้กองทุนที่ค่าธรรมเนียมรวมไม่แพงจนเกินไป
 
และสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งต้องระมัดระวังสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น Health Tech ที่ควรดูหรือพิจารณาเป็นพิเศษ ก็คือ หุ้นที่อยู่ในกองทุนนั้นบางครั้งเป็นธุรกิจที่ยังมีขนาดเล็ก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากบางบริษัทยังมีกำไรไม่มาก หรือเป็นบริษัทที่เริ่มจากการเป็น Start-up ที่เพิ่งเริ่มเข้าในตลาดหุ้นได้ไม่นาน แน่นอนว่าการทำธุรกิจ Health Tech หากไม่ได้มีจุดแข็งหรือจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งมาก ๆ ก็อาจจะมีโอกาสที่บริษัทจะปิดตัวลงได้เช่นกัน และส่งผลต่อผลประกอบการของกองทุนได้
 
 
ถึงแม้ว่าผู้จัดการกองทุนจะสามารถปรับพอร์ตลงทุน หรือดูแลความผันผวนให้เราได้ แต่นักลงทุนเองก็ต้องทราบถึงข้อจำกัด และโอกาสที่จะเกิดความเสียหาย รวมถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ไว้ด้วยเช่นกัน
 
ดังนั้น หากนักลงทุนรับความเสี่ยงสูงไม่ได้ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทยายักษ์ใหญ่ หรือ กองทุน Healthcare ธรรมดา แต่อาจจะมีบางส่วนที่ทำด้าน Technology อยู่บ้าง และเป็นบริษัทที่เราคุ้นชื่อ คุ้นเคย เช่น Pfizer หรือ AstraZeneca ที่ผลิตวัคซีน COVID-19 ก็อาจจะเป็นคำตอบมากกว่าก็เป็นไปได้
 
หากคุณอยากที่จะลงทุนระยะยาวแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกับกองทุนในกลุ่ม Healthcare และ/หรือ Health Tech คุณก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง และศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เรากำลังจะลงทุนนั้น จะเป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้
 
สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการเลือกกองทุนรวม พร้อมสร้างและบริหารพอร์ตกองทุนรวมด้วยตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ห้องเรียนกองทุนรวม The Series” เวบไซด์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 พ.ค. 2564 เวลา : 16:08:34
29-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 29, 2024, 3:43 am