หุ้นทอง
บทความดร.กฤษฎาตอน 5 : ธุรกิจกับการลดโลกร้อน (5)


ธุรกิจกับการลดโลกร้อน (5)

รศ. (พิเศษ) ดร.กฤษฎา เสกตระกูล, CFP®
 

เราได้กล่าวไปแล้วว่าการใช้พลังงานจากฟอสซิลของมนุษย์เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน แต่เราก็ต้องยอมรับว่าพลังงานจากฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะใช้เพื่อทำให้เกิดพลังงานความร้อน ความเย็น ผ่านกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการอยู่อาศัย การผลิตสินค้าบริการรวมทั้งใช้เพื่อขับเคลื่อนยายยนต์ตอบสนองการคมนาคมขนส่งต่างๆ

บทความตอนนี้ จะสรุปให้เห็นถึงการใช้พลังงานฟอสซิลโดยตรงโดยอ้อมของภาคธุรกิจ เพื่อเป็นจุดตั้งต้นให้ภาคธุรกิจหันไปตระหนักและเริ่มเก็บข้อมูลว่าในกระบวนการทำธุรกิจของตน ใช้พลังงานฟอสซิลไปเท่าใด และหากคำนวณแล้วธุรกิจมีส่วนได้สร้างมลภาวะโลกร้อนเท่าใด และจะมีแผนระยะสั้นระยะยาวอย่างไร เพื่อมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบดังกล่าว

ข้อมูลเหล่านี้ในอนาคตจะเริ่มมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน นักลงทุนเป็นต้น มีแนวโน้มที่อยากทราบข้อมูลเหล่านี้มากขึ้นในอนาคต และเป็นสิ่งกดดันต่อการดำเนินธุรกิจ เพราะผู้ที่เพิกเฉยอาจถูกต่อต้านโดยไม่สนับสนุนสินค้าและบริการของบริษัท จนกระทบต่อการลดลงของมูลค่าของกิจการได้

1. ธุรกิจควรมีข้อมูลการใช้พลังงานฟอสซิลของตนในปัจจุบัน

ผู้ประกอบการและพนักงานในภาคธุรกิจ ควรทราบว่า การใช้น้ำมันเชื่อเพลิงในการขนส่งคมนาคม หรือในกระบวนการผลิต สามารถทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ที่สำคัญได้แก่ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้เกิดฝนกรดและปรากฎการณ์เรือนกระจก

นอกจากนี้ น้ำมันที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็มาจากพลังงานฟอสซิล สำหรับก๊าซธรรมชาตินั้น ที่มีการนำใช้ผลิตไฟฟ้า แม้จะทำให้เกิดมลพิษน้อยกว่าใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น แต่การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้นั้น จะเกิดก๊าซมีเทนรั่วสู่บรรยากาศประมาณร้อยละ 2 และเมื่อเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติก็จะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศเช่นกัน

 
ในด้านลิกในต์ที่นำมาผลิตไฟฟ้า หากไม่มีระบบกำจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนบริเวณใกล้เคียงโรงไฟฟ้าได้ ซึ่งหากติดตั้งระบบกำจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ได้มาตราฐานก็จะเพิ่มต้นทุนการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 20-30
ธุรกิจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานฟอสซิลไม่มากก็น้อย อาจผ่านการจัดหาและขนส่งวัตถุดิบเข้าโรงงาน การขนส่งระหว่างการผลิต การขนส่งสินค้าไปยังผู้จัดจำหน่ายและผู้บริโภค ในส่วนของการใช้พลังงานไฟฟ้าผ่านเครื่องจักรในกระบวนการผลิต ไฟฟ้าส่องสว่างในโรงงานและสำนักงานการใช้ไฟฟ้าผ่านเครื่องปรับอากาศในพื้นที่ต่างๆ เป็นต้น

ธุรกิจอาจเริ่มต้นโดยการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการใช้รูปแบบหลัก 2 ชนิด คือการขนส่งหรือการเดินทางกับการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการทำธุรกิจห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของตนเอง เช่น ช่วงก่อนการผลิต (Inbound Logistics) ช่วงการผลิต (Production) ช่วงหลังการผลิต (Outbound Logistics)  โดยบันทึกความถี่ ปริมาณการใช้พลังงาน และค่าใช้จ่ายเอาใว้ การมีข้อมูลดังกล่าวจะเป็นพื้นฐาน (Benchmark) เอาไว้ให้ธุรกิจได้เห็นว่าปัจจุบันธุรกิจมีสถานะการใช้พลังงาน เช่น น้ำมัน และไฟฟ้าอย่างไร เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เพราะสามารถนำไปวิเคราะห์จุดที่อาจใช้พลังงานสิ้นเปลืองหรือปรับปรุงการใช้ให้มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมได้

2. ธุรกิจควรมีองค์ความรู้และวิธีปฎิบัติเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน

แม้ว่าพลังงาน เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจะยังคงเป็นพลังงานพื้นฐานที่ธุรกิจยังจำเป็นต้องใช้อยู่ในการผลิต
สินค้าและบริการก็ตาม แต่ถ้าธุรกิจสามารถหาวิธีการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือวิธีประหยัดกว่าเดิมทำให้เกิดการลดการใช้พลังงานได้ นอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนแล้วยังจะมีส่วนช่วยลดผลกระทบทางลบในด้านภาวะโลกร้อนได้

ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเทคนิคต่างๆ ที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น การใช้น้ำมันหรือการใช้ไฟฟ้าเพราะสามารถสืบค้นได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ซึ่งสามารถรวบรวมและเรียนรู้ได้ไม่ยากแต่มีข้อคิดสำหรับธุรกิจว่า การใช้พลังงานในธุรกิจนั้น ผู้ใช้ก็คือบุคลากร หรือพนักงานของธุรกิจนั่นเอง เช่น  มีคนที่ต้องขับรถไปรับวัตถุดิบ ไปส่งสินค้า หรือมีคนที่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ ต้องเปิดใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งกระจายอยู่ ณ จุดต่างๆขององค์กร

คำถาม ก็คือ กลุ่มคนเหล่านี้มีการปฎิบัติเวลาการใช้พลังงานอย่างไร มีความตระหนักรู้ที่จะใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ความห่วงใยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน รวมทั้งมีความรู้และทักษะในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า นอกจากสามารถสร้าง DNA ความตระหนักในเรื่องดังกล่าวแล้ว ลงไปที่พนักงานทั่วถึงทั้งองค์กรแล้ว ในหน่วยย่อยต่างๆที่พนักงานสังกัดอยู่ ยังมีการร่วมกำหนดเป้าหมายและลงปฎิบัต เพื่อควบคุมการใช้พลังงานไม่ให้สิ้นเปลืองซึ่งการเดินทางไปยังจุดที่ใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีที่สุด จะสามารถหาวิธีที่จะประหยัดพลังงานได้

ในหัวข้อที่แล้วสถานะที่ใช้พลังงานในปัจจุบันจึงเป็นจุดตั้งต้นที่จะต้องตั้งคำถามกับพนักงานว่าในจุดนั้น เป็นจุดที่ดีที่สุดให้องค์กรหรือยัง หากพนักงานได้เห็น และองค์กรได้เติมความตระหนักความรู้และทักษะให้ เมื่อพนักงานรู้และเข้าใจและเข้าร่วมกำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนเพื่อช่วยนำไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิมของการใช้พลังงานก็จะเกิดขึ้น
 

3. ทำดีต้องกล้าเปิดเผย

หัวข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า หากเราทำดีแล้วให้เราอวดตัว แต่เป็นเรื่องที่จะชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลการประหยัดพลังงาน
เป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Stakeholders) ทั้งใกล้และไกลอยากรู้ เพราะทุกภาคส่วนต่างก็กังวลกับปัญหาภาวะโลกร้อน ข้อมูลที่บอกว่าธุรกิจแต่ละแห่งได้ดำเนินการอะไรบ้างเพื่อช่วยลดปัญหานี้

การใช้และการประหยัดพลังงานก็จะเป็นหัวข้อหนึ่งของการดำเนินการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ธุรกิจที่ทำได้ดี เมื่อเปิดเผยข้อมูลว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ผลเป็นอย่างไร จะสะท้อนให้เห็นถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ แสดงถึงความใส่ใจขององค์กรที่จะทำธุรกิจอย่างประณีต ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้เกี่ยวข้อง ในระยะยาว ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น จะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง ส่งผลดีต่อการเติบโตของมูลค่าและอยู่ในข่ายของบริษัทที่มีความยั่งยืน

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ไม่ได้ทำเรื่องการประหยัดพลังงานกับกระบวนการภายในขององค์กรตนเองเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันวิธีการไปยังคู่ค้า ลูกค้า ชุมชน เป็นต้น เพื่อช่วยให้เกิดผลลัพธ์การประหยัดพลังงานเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง จึงจะสามารถรวมพลังแก้ไขภาวะโลกร้อนร่วมกันได้ อย่างไรก็ดีการลดการใช้พลังงานฟอสซิลโดยตรงเป็นหนึ่งในเรื่องที่จะช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆอีก เช่น การสนับสนุนหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเป็นต้น ก็อีกแนวทางที่จะส่งผลกระทบทางอ้อม ทำให้การใช้พลังงานฟอสซิลลดลงได้ ซึ่งจะขอนำมากล่าวถึงในตอนต่อๆไป

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 31 พ.ค. 2564 เวลา : 09:48:22
29-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 29, 2024, 8:33 am