คริปโตเคอเรนซี่
Special Report : ล้วงลึก เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญคริปโต "LUNA" กันแน่? ทำไมราคาถึงแทบจะเป็น 0


 

 
 
เมื่อวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม 2565 ราคาของเหรียญ UST และ Luna เริ่มส่อกลิ่นไม่ดี เมื่อเม็ดเงินของเหรียญ UST ใน Pool ของ Anchor Protocol ได้มีการทยอยถอนออกไปกว่า 531 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีใครบางคนซื้อเหรียญ UST กลับเข้ามาในจำนวนมากถึง 13.8 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และในที่สุดกลุ่มบุคคลนิรนามก็ได้แปลงกลายเป็น Attacker เทขายเหรียญ UST ที่มีอยู่มหาศาล ทำให้เหรียญ UST ที่ควรมีมูลค่าอยู่ที่ 1$ ได้หลุด Peg ลง กลายเป็นวิกฤติที่ทำให้เหรียญที่ชื่อว่า Luna มีราคาตกต่ำลงไปด้วย แม้ทาง LFG จะจำยอมขาย Bitcoin ทั้งหมดออกไปเพื่อกู้ค่า UST ให้กลับคืนมา ก็ไม่สามารถต่อกรกับแรงขายของตลาดได้ ทำให้ในที่สุดราคาของเหรียญ Luna มีมูลค่าแทบจะเป็น 0 และเหรียญ UST ก็ไม่สามารถกลับเข้า Peg ได้ จนทำให้ทาง Terra Protocol ต้องปิดระบบเพื่อหาทางจัดการกับปัญหาดังกล่าว

Terra Protocol นั้นเกิดมาจากแนวคิดที่ว่าต้องการสร้างระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง เฉกเช่นเดียวกับแนวคิดของการสร้าง Bitcoin ที่สินทรัพย์อย่างเหรียญคริปโตของทาง Terra นั้นจะไม่ขึ้นอยู่กับระบบการเงินในโลกเก่า หรือได้รับอิทธิพลจากสงครามการเงิน ที่เดินหมากด้วยรัฐบาลหรือธนาคารที่มีอำนาจรวมศูนย์ (ยกตัวอย่างเช่นสภาวะเงินเฟ้อใน ณ ขณะนี้ ที่ส่วนหนึ่งมีผลมาจากสภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน)

เหรียญ Stable Coin ที่มีชื่อว่า “TerraUSD (UST)” และเหรียญ “Luna” จึงถูกออกแบบมาเพื่อยืนด้วยตัวมันเองได้ กล่าวคือ ในส่วนของ Stable Coin ชนิดของเหรียญคริปโตที่มีมูลค่าคงที่ (ส่วนใหญ่ในตลาดจะมีมูลค่าประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ) ส่วนใหญ่จะมีสินทรัพย์มาค้ำประกันให้เหรียญนั้นคงมูลค่าไว้ได้ Stable Coin อย่างเหรียญ USDC และ BUSD นั้น มีเงินดอลลาร์สหรัฐค้ำประกันอยู่ที่สัดส่วน 100% ฝากไว้ในธนาคาร ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราสหรัฐฯ และสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ ตามลำดับ ส่วนเหรียญ USDT มีเงินดอลลาร์สหรัฐ 2.4% ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น 49.6% และอื่นๆ

แต่เหรียญ UST ของ Terra ไม่ได้เอาสินทรัพย์จากโลกเก่าอย่างเงิน Fiat มาค้ำประกัน ตามแนวคิดที่จะสร้างระบบการเงินที่ปราศจากอำนาจรัฐเข้ามาควบคุม และก็ไม่ได้มีสินทรัพย์อื่นใดๆมาค้ำประกันเลย แต่จะใช้ Algorithm ในการปรับมูลค่าของเหรียญ UST ให้คงที่ด้วยการเพิ่มหรือเผา (Burn) เหรียญ Luna ตามหลัก Supply Demand ซึ่งต้องบอกตรงนี้ก่อนว่าตัวของ Stable Coin มันไม่มีทางที่จะมีมูลค่าเท่ากับสกุลเงินดอลลาร์อยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาดคริปโต ที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับเงิน Fiat ที่เป็นเงินสกุลเงินดอลลาร์ใดๆเลย ฉะนั้นกลไก Supply Demand ระหว่างเงินสกุลดอลลาร์ กับ Stable Coin ย่อมไม่เท่ากันอยู่แล้ว ในกรณีของเหรียญ UST จึงต้องทำให้มันคงมูลค่าที่ 1$ เอาไว้ให้ได้ หากเหรียญ UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1$ UST จะถูก Burn เหรียญไปเป็นเหรียญ Luna แทน แต่ถ้าเหรียญ UST มีมูลค่ามากกว่า 1$ กลับกันคราวนี้ตัวของเหรียญ Luna เอง จะถูก Burn หายไปเป็น UST หรืออธิบายง่ายๆก็คือ หากราคา UST มีมูลค่าน้อยเกินไปก็ลดจำนวนเหรียญ (Burn) ให้ราคามันฟื้นกลับมา แต่หากราคา UST มีมูลค่ามากเกินก็เพิ่มจำนวนเหรียญให้เยอะขึ้นเพื่อลดราคาจนกว่าราคาจะอยู่ที่ 1$ ซึ่งมี Luna คอยสร้างความสมดุลนั่นเอง

เหรียญ Luna นั้นถือได้ว่าเป็นเหรียญที่มี Potential อย่างมากถึงขนาดมี Market Cap ติด Top 10 ซึ่งมีวอลุ่มการซื้อขายติดอันดับฮอตฮิตใน Exchange หลายๆเจ้า โดยมูลค่าของเหรียญมีการพัฒนาขึ้นตลอดจนทำราคา All Time High ไว้ที่ 119.52 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เหตุที่เหรียญ Luna นั้นมีมูลค่าที่สูงขึ้นๆ ก็สามารถอธิบายได้ด้วย Algorithm ของ Protocol Terra ที่ได้กล่าวไปข้างต้น การที่ Luna มีจำนวนเหรียญที่น้อยลงเรื่อยๆ ใกล้เคียงกับคุณสมบัติของสินทรัพย์ที่มีอย่างจำกัดลง จนผลักดันให้ราคามันสูงขึ้นโดยปริยาย เป็นเพราะมี Demand หรือความต้องการในเหรียญ UST ที่สูงจนราคาเกิน 1$ จนต้อง Burn เหรียญ Luna แปลงไปเป็น UST เพื่อสร้างความสมดุล และเติมสภาพคล่องให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในตลาด ซึ่งสาเหตุที่ UST ดูจะเป็นหนุ่มฮอตที่ใครต่อใครก็อยากครอบครอง ไม่ใช่เพราะคนเอา UST มาใช้จ่ายซื้อของในชีวิตจริงด้วยแอพลิเคชั่นของ Terra ที่ชื่อ Chai (เป็นแอพลิเคชั่นที่สามารถนำ UST มาจ่ายแทนเงินสดตามร้านที่รับชำระ) มันยังไม่เกิด Mass Adoption จนคนใช้เหรียญคริปโตแทนเงินสดขนาดนั้น แต่สิ่งที่จูงใจจนเป็นที่ต้องการสูงเป็นเพราะ “Anchor Protocol” แพลตฟอร์มการออมเหรียญ และการปล่อยกู้เหรียญของทาง Terra ที่เปิดให้ออมเหรียญ UST เทียบเคียงได้กับการฝากออมทรัพย์ในธนาคาร แต่แตกต่างตรงที่จะได้รับดอกเบี้ยสูงถึงปีละ 20% ไม่ใช่ดอกเบี้ย 0.5%ตามธนาคารในโลกจริง ดอกเบี้ยล่อตาล่อใจนี้ เพียงแค่ฝากเงินเป็น Stable Coin นิ่งๆ (ที่ใครต่อใครก็คิดว่า UST มันจะ Stable) จึงทำให้ภายหลังการเปิดตัว Anchor Protocol นี้ Terra มีเงินอยู่ใน Ecosystem ระดับมหาศาล การเติบโตของ Chain ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

 
แล้ว Terra มาถึงจุดตกต่ำจนราคาของเหรียญ Luna เหลือ 0 ได้อย่างไร?
 
 
 
 
ชาร์ตราคาของเหรียญ Luna จาก Tradingview.com
 
 
ตัวของ Anchor Protocol ที่ให้ดอกเบี้ยในการฝาก UST ถึงปีละ 20% นั้นเป็นความคิดของ Do Kwon ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Terraform Labs ที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อดึง UST ไว้ในระบบให้ได้มากที่สุดแม้ในช่วงตลาดหดตัว (UST ความต้องการเยอะ ก็เป็นประโยชน์กับเหรียญ Luna ที่ราคาสูงขึ้นจาก Supply ของเหรียญที่ถูก Burn หายไป) แน่นอนว่าทาง Terra ต้องมีเงินคงคลังมาจ่ายดอกเบี้ยให้กับคนที่นำมาฝากให้เพียงพอ ไม่งั้นถ้าเกิดไม่สามารถตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 20% เหมือนเดิม ก็อาจทำให้คนไม่มีสิ่งที่จูงใจที่จะถือ UST และร่วมกันเทขายออกไป ผลที่ตามมาก็คือ เหรียญ UST ที่ Demand ลดลง ก็จะทำให้เกิดการ ‘หลุด Peg’ คือมูลค่าเหรียญน้อยกว่า 1$ และกลไกของ Algorithm ก็จะทำงานด้วยการเพิ่มปริมาณของเหรียญ Luna ออกมาขายในตลาดเพื่อดันราคาของ UST ให้กลับไปที่ 1$ (เหมือนกับการพิมพ์เงินเข้าระบบ) หรือถ้าตลาดเกิดความกลัวมากๆ คนไม่กล้าลงทุนในคริปโต UST และ Luna ก็เกิดการเทขายได้เช่นกัน ซึ่งก็มีการหลุด Peg ก่อนหน้านี้มา 2 ครั้งแล้ว Luna Foundation Guard หรือ LFG จึงถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกลับปัญหาดังกล่าว ด้วยการเพิ่มสินทรัพย์อย่าง Bitcoin เข้ามาค้ำประกันเหรียญ UST เพื่อรักษา Peg เอาไว้ และถ้า Bitcoin ที่ LFG ซื้อมาค้ำนั้นมีราคาที่สูงขึ้นกว่าตอนที่ซื้อเข้ามา ก็สามารถนำส่วนของกำไรมาจ่ายค่าดอกเบี้ยได้อีกด้วย

แต่ด้วยการทำงานหลังบ้านเพื่อคงราคา UST ให้เป็น Stable Coin ตามที่กล่าวไปก่อนหน้าก็กลับเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ให้มี Attacker มือดีมาโจมตี โดย Attacker นั้นถือซื้อเหรียญ UST สะสมเก็บไว้ในปริมาณมหาศาล และได้เอาออกมาถล่มขายหมดหน้าตัก จน UST เกิดการหลุด Peg และเหรียญ Luna ก็ผุดออกมาตามสัดส่วน UST ที่ถูกขายหายไป คราวนี้ตลาดเลยเกิดการ Panic และเริ่มเกิดความไม่เชื่อใจในตัวเหรียญ Luna ที่ Supply ออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนราคา Luna ร่วงลงๆ เมื่อไม่มีใครกล้าซื้อเหรียญ Luna เข้าพอร์ต ราคาของ UST ก็หลุด Peg ไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แม้ LFG จะเติมเงินเข้าไปใน Pool เพื่อพยุงให้ Peg กลับคืนมาก็สู้แรงคนที่กระโดดหนีตาย เทขาย UST ไม่ไหว LFG จึงจำใจที่จะต้องเอา Bitcoin ออกมาขายทั้งหมด เอามาแลกเป็น UST แทนเพื่อกู้ให้ราคากลับมาที่ 1$

ซึ่งด้วยจำนวน 25,000 Bitcoin ที่ถูกเทขายจากทาง LFG จึงทำให้ราคา Bitcoin ลงไปโหม่งหัวอยู่ที่ระดับ 29,000 ดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลให้มูลค่าตลาดคริปโตโดยรวมลดลงตามไปยกแผง ความกลัวของตลาดที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะในเหรียญ UST และ Luna ทำให้แม้ LFG จะเท Bitcoin ไปหมดหน้าตักก็ยังไม่สามารถกอบกู้ Peg ของ UST ให้ขึ้นมาได้ ทำให้ Luna ทยอยผุดออกมาอย่างมหาศาล ไม่มีที่สิ้นสุด จนเกิดเป็น Hyper Inflation ที่ราคาร่วงลงจากราคา All Time High 119.52 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นระดับต่ำกว่า 0.00003 ดอลลาร์สหรัฐ หรือก็คือเหลือเป็น 0 Exchange จึงได้ประกาศปิดให้บริการซื้อขายชั่วคราวออกไปก่อน และตัว Chain ของ Terra เองก็ปิดระบบเป็นการชั่วคราวเพื่อกันไม่ให้ Supply ของเหรียญ Luna เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ และเพื่อป้องกัน Governance Attacks หรือผู้ไม่หวังดีเข้าทำอะไรใน Terra

ทางตัวของ Do Kwon เองได้กำลังหาทางแก้ไขปัญหานี้อยู่ ซึ่งล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่มของวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 เขาได้โพสไอเดียในการแก้ปัญหาไว้ที่ https://agora.terra.money/t/terra-ecosystem-revival-plan/8701/4 แต่ยังไม่ใช่ Final Proposal ซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าทาง Terra จะมีมาตรการอย่างไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหรียญทั้งสองของทาง Chain จะน็อคเอ้าท์ล้มหายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับหรือเปล่า ก็คงเป็นอะไรที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งจากทาง Twitter ของ Do Kwon (@stablekwon) และOfficial Account ของ Terra (@terra_money)
 

บันทึกโดย : วันที่ : 15 พ.ค. 2565 เวลา : 16:31:49
21-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 21, 2024, 5:11 am