ใครๆก็รู้กันดีว่าเหตุการณ์สำคัญในปี 2022 ก็คงไม่มีอะไรเป็นที่น่าจับตามองในสายตาโลกไปมากกว่าสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนอีกแล้ว เพราะผู้เล่นในเกมนี้เป็นถึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างรัสเซีย และอีกฟากตรงข้ามก็เป็นประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ใครๆก็ต่างขนานนามว่าเป็นพี่ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญของโลก แถมยังมีพันธมิตรในฝั่งประเทศยุโรปเข้ามาเสริมกำลังการต่อกรกับฝ่ายรัสเซียอีกด้วย
แต่ผู้เล่นอย่างสหรัฐอเมริกาที่ดูจะเป็นตัวเต็งในศึกครั้งนี้ เห็นทีว่าเราคงต้องปรับมุมมองกันเสียใหม่ เพราะเดิมทีที่ทางสหรัฐกับประเทศในฝั่งยุโรปต่างประณามการบุกยูเครนของรัสเซีย ด้วยการ Sanction หรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ทยอยลดการซื้อนำเข้าน้ำมัน ตัดรัสเซียออกจากระบบ Swift ที่ทำให้รัสเซียและประชาชนไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศได้ หรือการอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียก็ตาม เพื่อบีบให้เศรษฐกิจรัสเซียตกต่ำจนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในสงครามครั้งนี้นั้น มันกลับไม่เป็นผลตามคาด แม้ช่วงแรกที่มีการ Sanction เกิดขึ้น เราเหมือนจะเห็นสัญญาณว่ารัสเซียต้องมีโอกาสสูงที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จากที่สกุลเงินรูเบิลได้ร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดกว่า 70% แต่สุดท้ายเกมกลับพลิก ค่าเงินรูเบิลได้ทะยานแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าตกใจว่าค่าเงินดังกล่าวของรัสเซียมีการแข็งค่าขึ้นมากสุดในรอบ 7 ปี หรือแข็งค่ากว่าช่วงก่อนเกิดสงครามเลยเสียด้วยซ้ำ เป็นการชี้ให้เห็นว่ารัสเซียที่ขับเคลื่อนด้วย "วลาดิเมียร์ ปูติน" นั้นไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือที่สหรัฐและยุโรปจะฆ่าตายได้ง่ายๆ
เหตุผลหลักๆเป็นเพราะทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ อย่างน้ำมันและก๊าซที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายยักษ์ใหญ่ของโลก แม้สหรัฐจะเดินหน้ามาตรการห้ามนำเข้าและหลายประเทศในยุโรปก็ทยอยลดการซื้อน้ำมันจากทางรัสเซียเพื่อตัดแรงหนุนด้านการเงินในการก่อสงครามรุกรานยูเครน และบีบให้เศรษฐกิจตกต่ำ แต่พันธมิตรที่ดีของรัสเซีย อย่างจีนและอินเดียก็ได้มีการเข้าซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย (น้ำมันของรัสเซียมีการปรับลดราคาลงเนื่องจากความต้องการซื้อของสหรัฐและยุโรปหายไป) ทดแทนในสัดส่วนที่เทียบได้เท่ากับแรงซื้อที่หายไปจากการ Sanction และการเข้าซื้อน้ำมันของรัสเซีย ปูตินได้กำหนดออกมาว่าหากใครซื้อต้องใช้เงินสกุลรูเบิลในการจ่ายเท่านั้น ประกอบกับรัสเซียเป็นประเทศที่มีเหมืองทองคำขนาดใหญ่ของโลก มีทรัพยากรทองคำที่เข้มแข็ง เงินสกุลรูเบิลเลยมีการเชื่อมโยงกับ Gold Standard หรือถูก Back Up ไว้โดยทองคำ (ไม่ใช่เงินสกุลดอลลาร์เหมือนกับประเทศอื่นๆ) จึงเป็นสิ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือชั้นดีให้กับนักลงทุน เลยเป็นเหตุผลที่ว่าเงินสกุลรูเบิลยังมีความต้องการและสามารถทะยานกลับไปแข็งค่ามากกว่าเดิมได้ ไม่ได้ถึงคราวอวสานตามที่ "โจ ไบเดน" คาดเอาไว้
ถึงแม้จะโดนพี่ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐนำทีมในการปราบรัสเซียให้ตายคามือ แต่เมื่อรัสเซียดันฆ่าไม่ตาย แถมยังพลิกเกมกลับมาเป็นผู้ได้เปรียบในศึกครั้งนี้อีกเสียอย่างนั้น ทำให้ขั้วอำนาจที่ตกอยู่ในกำมือของสหรัฐมาหลายสมัยเริ่มที่จะสั่นคลอน เพราะในเมื่อเห็นตัวอย่างว่าในตอนนี้ประเทศมหาอำนาจที่ใครๆต่างไม่กล้าหืออือนั้นไม่สามารถทำการ Sanction รัสเซียได้สำเร็จ หลายประเทศจึงเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ที่ตนเองจะได้เป็นอิสระจากอำนาจของสหรัฐ กลุ่มที่ชื่อว่า BRICS จึงได้มีการรวมตัวประชุมอีกครั้ง เพื่อที่จะสร้าง Global Reserve Currency หรือสกุลเงินสำรองตัวใหม่ เพื่อคานอำนาจของ World Bank
จากที่ได้กล่าวไปว่ารัสเซียถูก Sanction ด้วยการตัดออกจากระบบ SWIFT ทำให้ไม่สามารถค้าขายกับประเทศอื่นๆได้ ซึ่งตัว SWIFT คือระบบสมาคมธุรกิจโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารโลก หรือก็คือระบบการโอนเงินของธนาคารและสถาบันทางการเงินต่างๆที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก และมีการซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์ โดยที่ทุกๆประเทศจะต้องมีการพึ่งช่องทางการชำระเงินด้วยระบบดังกล่าว หากในอนาคตประเทศอื่นๆได้กระทำการอะไรบางอย่างที่คานอำนาจของสหรัฐ ก็มีโอกาสที่จะโดน Sanction ด้วยการตัดขาดจากระบบ SWIFT ซึ่งมีผลอย่างมากกับเศรษฐกิจในประเทศ ทางจีนเองที่ได้มีการปูทางมานานแล้วว่าจะทำให้ประเทศของตัวเองเป็นอิสระจากอำนาจของสหรัฐให้ได้ หนึ่งในนั้นก็คือการจัดตั้งระบบ CIPS ช่องทางการชำระเงินระหว่างประเทศที่เป็นอิสระจากระบบ SWIFT (หรือก็คือคู่แข่งของระบบ SWIFT) ที่ทางสหรัฐและประเทศมหาอำนาจซีกโลกตะวันตกจะไม่มีอำนาจในการตัดช่องทางชำระเงินช่องนี้ได้ ซึ่งตอนนี้ทางรัสเซียกับจีนเองก็กำลังผนึกกำลังกันที่จะสร้าง New World Order หรือระเบียบอำนาจขั้วโลกใหม่ เพื่อคานอำนาจกับซีกโลกตะวันตกที่กุมอำนาจรวมศูนย์มาช้านาน ประกอบกับการรวมตัวกลุ่ม BRICS ขึ้นมาอีกครั้ง ที่ประกอบไปด้วย 5 ประเทศทั้งรัสเซีย จีน อินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ สร้างเงินสกุลใหม่ขึ้นมาใช้ในการติดต่อซื้อขายภายในกลุ่ม ปราศจากเงินดอลลาร์และอำนาจของ World Bank การเตรียมพร้อมของขั้วอำนาจใหม่ทั้งหมด ดูท่าว่าทางสหรัฐและยุโรปน่าจะต้องตั้งรับแรงปะทะอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
.jpg)
เพราะความน่ากลัวของอำนาจขั้วโลกใหม่ ดูจากข้อมูลตัวเลข GDP ปีล่าสุด จะพบว่าประเทศในกลุ่ม BRICS รวมกันมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าฝั่งยุโรปเสียด้วยซ้ำ ทั้งจีนที่ครองขนาดเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกไล่เลี่ยกับทางสหรัฐ แถมรัสเซียยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรที่สำคัญของโลกอีกด้วย จึงมีโอกาสอย่างมากว่าเราอาจจะได้เห็น "ศึกชิงอำนาจระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ" ที่จะเป็นอีเว้นท์ใหญ่ระดับโลก และอาจส่งผลกับสภาวะเศรษฐกิจไปทั่วโลกอีกระลอกใหญ่ก่อนที่จะหาผู้ชนะอย่างเป็นเอกฉันท์ได้
ที่มา -https://www.worldometers.info
ข่าวเด่น