เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : ปรากฏการณ์ "ปลดพนักงาน" สัญญาณ...วิกฤติเศรษฐกิจโลก


 

 

เชื่อว่าผู้อ่านทุกคนคงได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในเวลานี้ดูไม่สู้ดีนัก จากการที่สภาวะเงินเฟ้อนั้นขยายอาณาเขตลุกลามไปทั่วโลก ประกอบกับทาง Fed ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาได้มีการขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 41 ปี และเตรียมจ่อขึ้นในอีกหลายๆครั้ง ทำให้เศรษฐกิจของทางสหรัฐอเมริกาในตอนนี้ค่อนข้างเริ่มเข้าสู่เฟสที่เรียกว่า Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอยเข้าไปทุกทีๆ


จากเรื่องของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เราพูดถึงกันอยู่บ่อยครั้ง ว่าเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติทางด้าน Supply Chain ซึ่งเป็นบ่อเกิดของสภาวะเงินเฟ้อที่กระทบไปทุกประเทศ ผู้คนต่างกระโดดหนีตายจากตลาดลงทุนต่างๆ กอดกระแสเงินสดเอาไว้กับตัวเอง จนทำให้เงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบนั้นลดน้อยลง และจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวของทาง Fed ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ แต่ทั้งการทำ QT ดึงเงินออกจากระบบ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงจนน่าหวาดหวั่นนี้ ก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ภาคธุรกิจเข้าสู่สภาวะตึงเครียด และมีการกู้ยืมเพื่อนำไปลงทุนที่น้อยลง เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้ที่แพงขึ้น ผนวกกับความเสี่ยงที่มากเกินไปจากที่ผู้คนมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยที่น้อยลง ที่ต้องถือเงินสดเพื่อความอยู่รอดเป็นสำคัญ โดยต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งวิธีหนึ่งในนั้นก็คือการลดการกู้เงินเฉกเช่นเดียวกับภาคธุรกิจ จึงไม่แปลกที่เงินในระบบจะยิ่งถูกถอนออกไปเรื่อยๆ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยหนี้อีกต่อไปได้แล้ว ก็ไม่แปลกที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่วัฏจักรขาลง

ด้านตลาดหุ้นของทางสหรัฐอเมริกาที่มีการดิ่งพสุธาลงมาตามเรื่องดังกล่าวนั้น ดูเหมือนว่าการเทขายครั้งนี้อาจพึ่งผ่านมาได้เพียงแค่ครึ่งทาง ยังมีแรงขายที่มีความรุนแรงมากกว่าเดิมอีกหลายระลอกรออยู่ ซึ่งทาง Michael Burry นักลงทุน(นัก Short) ชื่อดังในวงการหุ้น ก็มองว่าตลาดหุ้นและตลาดทุนจะลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ สอดคล้องกับ JP Morgan วาณิชธนกิจชื่อดังระดับโลก ได้ออกมาคาดการณ์ถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ (Economic Growth) ของสหรัฐอเมริกา ว่าน่าจะเติบโตเพียงแค่ 1% จากที่วางไว้แต่ก่อน 2.5% (ซึ่งถือว่าน้อยมากๆอยู่แล้ว) โดย 1% นี้แปลว่า เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ Recession หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ความร้อนแรงของเงินเฟ้อที่ดูแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น และไม่เห็นหนทางที่จะสงบลงง่ายๆ ทำให้การจ่อขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในอีกหลายๆครั้งต่อจากนี้ น่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ทวีความรุนแรงมากกว่าเดิม (จากที่ล่าสุดปรับจาก 0.5% มาเป็น 0.75%) ซึ่งเป็นสิ่งยิ่งตอกย้ำเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความจริงของภาวะวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าวที่น่าจะกำลังเกิดขึ้น และหากเราดู Movement ของทางภาคธุรกิจ นอกจากในด้านของหุ้นเพียงอย่างเดียว จะพบว่าเรื่องของการจ้างงานดูจะเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะถ้าหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง ภาคธุรกิจก็คงไม่เหลือรอดไป การพยุงให้บริษัทอยู่ต่อได้ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดค่าใช้จ่าย หนึ่งในนั้นก็คือการเลิกจ้างพนักงาน

ในช่วงการเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด หลายๆธุรกิจอยู่ไม่ได้ ล้มหายตายจากกันไปเป็นระนาว แต่ก็มีบางธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์นี้ ซึ่งนั่นก็คือบริษัทสาย Tech ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งธุรกิจแพลตฟอร์ม Delivery กระดานซื้อขายเหรียญคริปโต หรือผู้ให้บริการสายเทคโนโลยีต่างๆ แต่เมื่อสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ ที่ถึงคราวของบริษัท Tech นั้นต้องลดความร้อนแรงลง ประกอบกับมาเจอนโยบายการเงินที่มีความตึงตัวเป็นประวัติการณ์ ก็ทำให้หลายๆบริษัทมีการปลดพนักงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย เช่น Shopee ที่ปลดพนักงานออกไปแบบไม่ทันตั้งตัวในส่วนของฝั่ง Shopee Food และ Shopee Pay กว่า 50% เนื่องจากสร้างรายได้ที่ไม่น่าพอใจ หรือด้านของบริษัท Meta ก็เป็นหนึ่งในบริษัทสายเทคโนโลยีในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่ง "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ได้ส่งคำเตือนไปยังพนักงานทั้งหมด 77,800 คน ผ่านทาง Video Conference ใจความว่า “พวกคุณบางคนอาจคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าพูดตามความจริง มีพนักงานหลายคน ที่ไม่สมควรอยู่ที่นี่” ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงพนักงานให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น มีความ Productive มากกว่าเดิม ไม่งั้นอาจมีแนวโน้มที่จะเลือกปลดพนักงานออกไป เพราะในตอนนี้กำไรบริษัทลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และบริษัทก็สูญเสียมูลค่าตลาดสูงถึง 2.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากราคาหุ้นของ Meta ดิ่งลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ที่ผ่านมา โดยที่เห็นชัดที่สุด คือการจ่อจะปรับลดตำแหน่งวิศวกรให้เหลือเพียง 6,000 - 7,000 คน จากเดิมตั้งเป้าจ้าง 10,000 ตำแหน่งทั่วโลก

และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่ Shopee และ Meta เท่านั้น แต่รวมถึงบริษัทสาย Tech อื่นๆในสหรัฐอเมริกา ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันทั้ง Tesla Netflix บริษัทพัฒนาซอฟแวร์ วีดีโอเกม Unity Software และ Coinbase ก็มีการประกาศลดตำแหน่งพนักงานเช่นเดียวกัน ซึ่งวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทเหล่านี้ ก็อาจส่งผลลามต่อมายังอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลก เพราะช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ภาคการเงินก็ได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน จากการที่ตลาดทุนมีเงินไหลเข้ามา มี Activities มากมายในช่วงเวลานั้น มีการจดทะเบียนบริษัท มีการควบรวมกิจการ ภาคการลงทุนก็เลยมีการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยหากเรามองความเคลื่อนไหวของสถาบันการเงินเมื่อปี 2020 จะพบว่ามีการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น โดย JP Morgan จ้างงานเพิ่มขึ้น 13% Goldman Sachs เพิ่มขึ้น 17% และ Morgan Stanley เพิ่มขึ้นถึง 26% แต่ในปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป การที่จะเกิดบริษัทใหม่ๆ เข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือออกหุ้น IPO เพื่อระดมทุนนั้นในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ปีนี้เทียบกับปีก่อนหน้านั้น มีสัดส่วนที่หายไปประมาณ 91% เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อกิจกรรมต่างๆ ลดน้อยลง รายได้ของสถาบันการเงินและวาณิชธนกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนก็น้อยลงไปด้วย

จากตั้งแต่ 2 ปีก่อน ที่ต้นทุนของสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการจ้างพนักงานที่ได้กล่าวไป คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มกว่า 10% ในเดือนกรกฎาคมนี้ ที่จะมีการแจ้งผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ถ้าตัวเลขกำไรไม่สู้ดีนัก (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไปในทิศทางนี้) เราอาจได้เห็นการลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 5-8% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของบริษัทจัดหางานที่ชื่อ DMC Partners ว่าอาจจะมีการปลดพนักงานธนาคารในสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมากในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพราะต้องตัดค่าใช้จ่ายให้อยู่รอด

หากประเทศมหาอำนาจของโลก เข้าสู่สภาวะวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว ในประเทศไทยของเราก็คงไม่รอดพ้นเช่นเดียวกัน จากที่เห็นแล้วว่าเราก็เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบในเรื่องของเงินเฟ้อ และต้องมีการออกนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อพยุงค่าเงินบาท ประกอบกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่จะยิ่งเป็นตัวฉุดรั้งภาคธุรกิจและการเงินของประเทศ ในช่วง 6 เดือนหลังนับจากนี้ เราอาจจะได้เห็นมหกรรมการปลดพนักงานอีกระลอกใหญ่ๆในไทยก็เป็นได้

 
ที่มา

-https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-02/the-worst-stock-selloff-in-

-https://www.efinancialcareers.com/news/2022/06/banking-layoffs

บันทึกโดย : วันที่ : 10 ก.ค. 2565 เวลา : 14:37:48
07-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 7, 2024, 5:34 pm