ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 86-96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 92-102 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (22-26 ส.ค. 65)
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังตลาดกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย หลังธนาคารกลางยังเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังคงอ่อนแอ และสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 ในประเทศที่ยังพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ความกังวลเรื่องอุปทานตึงตัวอาจลดลง หากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างชาติมหาอำนาจและอิหร่านประสบความสำเร็จ
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
รายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบการประชุมในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มที่จะที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ได้ต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ 2 % เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน ก.ค. ทรงตัวสวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1 % สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มหดตัวของสหรัฐฯ
ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเดือน ก.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดที่ระดับ 3.8 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (Y-o-Y) ซึ่งต่ำกว่าที่คาดที่ 4.6 % และดัชนียอดค้าปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (Y-o-Y) ขณะที่รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดเผยว่าอัตราการว่างงานของกลุ่มผู้มีอายุ 16 – 24 ปี อยู่ที่ระดับ 19.9 % ในเดือนที่ผ่านมา แสดงถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของจีน เนื่องจากผลกระทบของนโยบายปลอดโควิดของรัฐบาล อย่าไรก็ตาม ล่าสุดธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.85 % สู่ระดับ 2.75 % เพื่อหวังรักษาเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด -19 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องบนเกาะไหหลำ ล่าสุดจากการรายงานพบผู้ติดเชื้อสูงกว่า 600 ราย ในวันที่ 16 ส.ค. ขณะที่มีรายงานผู้ติดเชื้อในเขตปกครองตนเองทิเบตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ เดือน มี.ค. 63 ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในจีนที่ยังคงรุนแรง ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของรัฐบาลจีน ซึ่งมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
จับตามองการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างชาติมหาอำนาจที่นำโดยสหรัฐฯ และ อิหร่าน ซึ่งมีสหภาพยุโรปเป็นตัวกลาง หากสหรัฐฯ และ อิหร่านสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ตลาดเชื่อว่าอิหร่านจะสามารถผลิตและส่งออกน้ำมันสู่ระดับ 1 – 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกสู่ตลาดภายในระยะเวลา 6 เดือน หรือไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งจะช่วยลดภาวะอุปทานที่ตึงตัว
ปริมาณน้ำมันการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มเล็กน้อย หลังผู้ผลิตปรับเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันดิบ โดย Baker Hughes รายงานปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำหรับสิ้นสุดสัปดาห์ ณ วันที่ 12 ส.ค. ปรับขึ้น 3 แท่นสู่ระดับ 601 แท่น ล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ คาดปริมาณน้ำมันดิบในแหล่งชั้นหินดินดาน (Shale oil) ในเดือน ก.ย. 65 ปรับเพิ่มขึ้น 0.14 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 9.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ มี.ค. 63
เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขภาคการผลิต (PMI) เดือน ส.ค. 65 ของสหรัฐฯ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 52.0 และ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (PMI) เดือน ส.ค. 65 ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีแนวปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 51.0 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-19 ส.ค. 65)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 1.36 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 90.77 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 96.72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 94.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดยังคงกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในจีน อันเป็นผลมาจาก
นโยบายควบคุมโควิดอย่างเข้มงวดของรัฐบาลจีน รวมถึงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้น และการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างชาติมหาอำนาจและอิหร่าน ที่มีสหภาพยุโรปเป็นตัวกลาง ซึ่งหากสามารถบรรลุข้อตกลงได้จะส่งผลให้น้ำมันดิบออกสู่ตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังมีแรงหนุนจากตัวเลขปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบและเบนซินของสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงมากกว่าที่คาดการณ์
.jpg)
ข่าวเด่น