ผู้ที่ติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อหลายๆคน คงได้ทราบข่าวการประชุมประจำปีที่แจ๊กสัน โฮล ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยเจอโรม พาวเวล ได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน ในใจความว่า ภารกิจของ Fed ที่มุ่งแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อให้อยู่หมัดนั้นยังไม่บรรลุเป้าหมาย จึงยังต้องมีการคุมเข้มนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อไป ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณว่า Fed ยังคงเดินหน้าที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ค่า CPI จะฟ้องออกแล้วในรอบเดือนก.ค.ล่าสุด ว่าเพดานของค่าเงินเฟ้อได้ถูกค้นพบแล้ว ผนวกกับการขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% ระดับเดิม 2 รอบติดที่ดูจะเป็นสัญญาณที่ดีก็ตามที โดยมีแนวโน้มว่าในรอบเดือนกันยายนนี้ อาจจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่อีกด้วย และจะยิ่งมีเปอร์เซ็นต์สูงมากขึ้น หากค่า CPI รอบเดือนสิงหาคมออกมาสูงกว่าเดิม
ซึ่งในวันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ผ่านมานี้เอง กระทรวงแรงงานสหรัฐ ได้เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค หรือค่า CPI ที่ใช้เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ว่าในรอบเดือนส.ค. มีการพุ่งขึ้นเป็น 8.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1% แต่ชะลอตัวลงจากที่ระดับ 8.5% ในเดือน ก.ค. ครั้งก่อน
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.3% ในรอบเดือน ส.ค. เมื่อเทียบรายปี(YoY) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.1% และเร่งตัวขึ้นจาก 5.9% ในรอบเดือน ก.ค.ทั้งนี้ เมื่อเทียบเป็นรายเดือน CPI พื้นฐาน เพิ่มขึ้นเป็น 0.6% จากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.3%
จากข้อมูลตัวเลข CPI ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหมาย ทำให้หลังการประกาศ ตลาดหุ้นและตลาดคริปโตมีการเทกระจาดด้วยความตกใจลงมาทันที โดยตลาดหุ้นสหรัฐสูญเสียเม็ดเงินไปกว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวกัน โดยหลังตลาดปิดในวันที่ 13 ก.ย. ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลดลง 1,276.37 จุด หรือ -3.94% ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 177.72 จุด หรือ -4.32% และ ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลง 632.84 จุด หรือ -5.16% ส่วนตลาดคริปโต เหรียญ Bitcoin มีการทิ่งดิ่งลงมาหลังการประกาศทันที -5.79% โดยทำจุดต่ำสุดอยู่ที่ 21,342 ดอลลาร์สหรัฐใน Time Frame 30 นาที และปิด Time Frame วันที่ 13 ก.ย. ในระดับราคา 20,173.57 จากราคาเปิดที่ 22,395.44 ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง -9.92%
ท่ามกลางตลาดที่อยู่ในความตื่นกลัวฉับพลันหลังจากเงินเฟ้อไม่ลดลงตามคาด แต่หากดูโดยรวมแล้ว ค่าเงินเฟ้อก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมา 2 เดือนติด จากตัวเลข CPI ที่ลดจากจุดพีคที่ 9.1% ในรอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวลงมาที่ 8.5% ในเดือนก.ค. และชะลอลงมาอีกเป็น 8.3% ในรอบเดือนล่าสุด จึงทำให้ ณ ตอนนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่มีความคาดหมายหลักในสัดส่วน 80% ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ หรือ FOMC มีโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับคงเดิมที่ 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ในขณะที่อีก 20% มองว่าก็อาจมีโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปเป็น 1% ซึ่งก็ต้องไปลุ้นกันหน้างานในการประชุมของ Fed รอบต่อไปที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 21 กันยายน 2565 ที่จะถึงนี้
ที่มา
-https://www.cmegroup.com/
-https://th.investing.com/
ข่าวเด่น