หุ้นทอง
SCB WEALTH เน้นลงทุนสินทรัพย์รับเศรษฐกิจฟื้นปี 66 พร้อมคาด Q4 นี้ SET แตะ 1,750 จุด


SCB Wealth ชี้ปีนี้การลงทุนสดใสกว่าปีก่อน แนะให้ลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศระดับ Investment Grade พร้อมจับตาตลาดหุ้นเอเชีย หาจังหวะลงทุนหุ้นจีนที่ได้รับแรงหนุนจากการเปิดเมือง หุ้นไทยที่ได้รับผลบวกเศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยว แรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืน การใช้จ่ายช่วงก่อนเลือกตั้ง และหุ้นอินโดนีเซียที่ได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต้นปี 2567 และ เร่งพัฒนานำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อดูแลพอร์ตลูกค้าให้มีสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลาย เช่น Structured note มีการป้องกันความเสี่ยงตลาดขาลง เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ขณะที่ความเสี่ยงโดยรวมลดลง และลงทุนหุ้นกลุ่ม Thematic ประเภท ESG ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านESG ของธนาคาร และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ดูแลใส่ใจโลกมากขึ้น ส่วน InnovestX  มองหุ้นปีนี้แตะ 1,750 จุด รับอานิสงส์ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว แนะกลยุทธ์ลงทุนแบ่งพอร์ตหุ้น 2 พอร์ต โดยพอร์ตที่ 1 สัดส่วน 70% ลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ได้ประโยชน์จากเปิดประเทศของจีน พอร์ตที่ 2 สัดส่วน 30% ลงหุ้นเก็งกำไร ที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาในปี 2566

 

 
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth  ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงาน SCB WEALTH Holistic Experts หัวข้อ “2023 Investment Strategy Framing a Future After a Perfect Storm” ว่าในปี 2565 ตลาดการลงทุนโลกและไทยมีปัจจัยที่ท้าทายและมีความผันผวนสูง ทำให้ธุรกิจ Wealth ในไทยล้วนได้รับผลกระทบ แต่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ SCB Wealth ลดลงในอัตราที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยรับมือด้วยการเฟ้นหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในทุกช่วงเวลาสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ส่วนในปี 2566 นี้ ตลาดการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น และพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เรายังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าและให้คำแนะนำในการบริหารพอร์ตอย่างสม่ำเสมอตามสภาวะและจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างพอร์ตให้มีคุณภาพและผลตอบแทนที่ยั่งยืน ด้วยความพร้อมของทีม SCB WEALTH Advisory ทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ติดตามดูแล และให้คำแนะนำอย่างเป็นระบบ ยิ่งไปกว่านั้น เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการยกระดับการให้บริการและคำปรึกษาผ่านช่องทาง Digital Wealth เพื่อให้บริการที่รู้จัก รู้ใจ ลูกค้ามากยิ่งขึ้น (Hyper-personalization) และยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกช่องทางแบบไร้รอยต่อ (Omni-channel) ในขณะเดียวกัน เราตั้งมั่นในการต่อยอดความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้าของธนาคาร ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ Open Architecture ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครบวงจร  

 
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้โลกมีปัจจัยบวกจากการเปิดเมืองของจีน ทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น ส่วนปัจจัยลบที่ยังคงมีอยู่อย่างภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และอาจได้เห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ เช่น ยุโรป แต่จะไม่รุนแรง ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะยังปรับขึ้นต่ออีกเล็กน้อย เนื่องจากเงินเฟ้อทยอยปรับลดลงมาแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก ในช่วงเวลานี้ แนะนำให้ทยอยลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพราะโอกาสที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้จะปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูง มีค่อนข้างจำกัด สอดคล้องกับที่ Fed มองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ แนะนำให้เพิ่มอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ โดยทยอยเพิ่ม Duration ในพอร์ตการลงทุน และเน้นเลือกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (Investment Grade) ทั้งของไทยและต่างประเทศ เนื่องจากมีความสามารถในการชำระหนี้และจ่ายดอกเบี้ยได้ แม้ในช่วงเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงกลุ่มตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่บางประเทศที่มีความเสี่ยงปัญหาสภาพคล่อง 

ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่ดีในการคัดเลือกสินทรัพย์ที่น่าสนใจในราคาไม่แพง โดยตลาดหุ้นเอเชีย เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง และยังเป็นตลาดที่มีแรงหนุนจากการเปิดเมืองของจีน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน A-Share เนื่องจากดัชนีมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเร่งผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ขณะที่มูลค่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวต่อ 

ด้านตลาดหุ้นจีน H-Share ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองของจีนเช่นกัน ขณะที่ความเสี่ยงที่หุ้นจีน ADR จะถูก Delist ลดลงมาก แม้ว่าตลาดยังเผชิญปัจจัยกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ตาม ส่วนตลาดหุ้นไทย ได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว มีแรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืน และการใช้จ่ายช่วงก่อนเลือกตั้ง โดยเน้นหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง และสาธารณูปโภค และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่มีแรงหนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่เติบโต โดยเฉพาะช่วง 1 ปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งต้นปี 2567

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนในปีนี้ จะยังคงมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง หรือ Structured Note ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงในช่วงขาลงเอาไว้ ผลิตภัณฑ์การลงทุนประเภท Thematic ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประกัน (Lombard Loan) หรือ อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน (Property-Backed Loan) ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญกับการดูแลพอร์ตลงทุนของลูกค้าให้มีสินทรัพย์ลงทุนหลากหลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้มั่งคั่งอย่างยั่งยืน 

 
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2566 ในไตรมาสที่ 1 ความเสี่ยงด้านนโยบายการเงินตึงตัวแม้ดีขึ้นแต่ยังคงไม่จบ และยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานชะลอตัวลงที่เพิ่มขึ้น แต่การเปิดประเทศของจีนเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัว โดยในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะเห็นสัญญาณของเศรษฐกิจและกำไรผ่านจุดต่ำสุด รวมถึงความเสี่ยงของการส่งผ่านผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ราคาพลังงานของสหภาพยุโรป เหตุการณ์สำคัญในไตรมาส 2 ที่อาจกระตุ้นให้ตลาดถึงจุดต่ำสุด ได้แก่ 
 
1.)  นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับการตึงตัว  
 
2.) Real Yield กลับมาเป็นบวก ซึ่งหมายความว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อสินทรัพย์ High Risk โดยเฉพาะตลาด Emerging Market ซึ่งจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ระหว่าง 1,550 -1,600 จุด และคาดว่าตลาดหุ้นน่าจะยังมี Downside อีกมากหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มรูปแบบในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ 

 
ส่วนในไตรมาส 3 ตลาดหุ้นไทยรับประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าสหรัฐ ยุโรป และเงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย และไตรมาส 4 ผลตอบแทนของตลาดดูเหมือนจะมีจำกัด เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของปี 2024 กลับมาสู่ภาวะปกติ Valuation คาดว่าจะตึงตัวตัวหลังจาก Rally อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ดัชนีอยู่ที่ 1,750 จุด แต่ก็อาจจะมีแรงเหวี่ยงดัชนีที่อาจจะพุ่งสูงไปถึง 1,924 จุด อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว นักเศรษฐศาสตร์ของ InnovestX ประเมินว่า ข้อจำกัดเกี่ยวกับ COVID ส่งผลทำให้ GDP Output ของจีนปรับลดลงราว 4-5% จากระดับ Trend ทำให้ GDP ขยายตัวราว 5% ตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายนโยบายของจีน เนื่องจากจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของ Traffic และรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิ หากตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยจะได้รับประโยชน์จาก Rally และส่งผลดีต่อ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม และท่องเที่ยว 

ส่วนกลุ่มพาณิชย์ จะเติบโต yoy ต่อเนื่องในปี 2566 ได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายปลีกที่ดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น ประกอบกับการขยายสาขา และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น รายได้ค่าเช่ามีแนวโน้มฟื้นตัวเนื่องจากการให้ส่วนลดค่าเช่าลดลง และอัตราการเช่าพื้นที่ที่ปรับตัวดีขึ้น และคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยที่ 25 ล้านคน ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มท่องเที่ยวฟื้นตัว ความต้องการใช้บริการจัดอีเว้นท์ เช่น สัมมนา และงานเลี้ยง จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้ การบริการด้าน Healthcare ที่ไม่เกี่ยวกับโควิดจะเติบโตเพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของบริการผู้ช่วยต่างชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้กำไรของกลุ่มการแพทย์เติบโตในปี 2566 มาร์จิ้นของกลุ่มการแพทย์แข็งแกร่ง เนื่องจากมีอำนาจกำหนดราคาสูง เราคาดว่าจะเห็นพัฒนาการเพิ่มมากขึ้นในธุรกิจใหม่ เช่น บริการสุขภาพดิจิทัล และบริการ Wellness ในปี 2566 กลุ่ม Bank เราคาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 13% ในปี 2566 โดยได้รับสนับสนุนจากการ คาดาการณ์ว่าสินเชื่อจะเติบโต 6% Net Interest Margin (NIM ) จะขยายตัว 6 bps ส่วน Non-Nll จะอยู่ในระดับทรงตัว และ Credit Cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7 bps

นายสุกิจ กล่าวถึงสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2566 ได้แก่ 
 
1.)นักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตโดดเด่น ภาคบริการฟื้นตัว
2.)ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 
3.)ผลกระทบจากนโยบายการเงินค่อนข้างจำกัด 
4.)นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 
5.)การเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ ด้วยสภาพตลาดหุ้นที่ยังคงมีความผันผวน จึงแนะนำแบ่งหุ้นเป็น 2 พอร์ต สัดส่วน 70:30 โดยพอร์ตที่ 1 (70%) เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ได้ประโยชน์จากเปิดเมืองของจีนและเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว มีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่อง มีความเป็นหุ้นเชิงรับ ส่วนพอร์ตที่ 2 (30%) เป็นหุ้นเก็งกำไร ที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะ Turnaround ได้ในปี 2023 โดยเป็นบริษัทที่ความเสี่ยงด้านฐานะทางการเงินต่ำ  โดยหุ้นแนะนำ ในพอร์ตที่ 1 ได้แก่ AOT, BBL,BDMS, CPALL,CRC,GPSC และ SCGP ส่วนในพอร์ตที่ 2 ได้แก่ AU, HANA และ SECURE

 
ดร.สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส Estate Planning & Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2566 ในด้านกฎหมายภาษีอากรที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ มีอยู่สองประเด็นหลัก และอีกหนึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ประกอบด้วย

จัดเก็บขายหุ้น
 
ภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีที่ขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็น 2 ช่วงด้วยกัน ได้แก่
 
1.)จัดเก็บภาษีในอัตรา 0.055% รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว ของมูลค่าขายหลักทรัพย์ฯก่อนหักค่าใช้จ่ายซึ่งคาดว่ากฎหมายจะมีผลให้เริ่มเสียภาษีตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. 2566 - 31 ธ.ค.2566   
 
2.)จัดเก็บภาษีในอัตรา 0.11% รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว ของมูลค่าขายก่อนหักรายจ่ายใดๆ มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป

สรุปคือ ซื้อไม่มีภาษี แต่ขายจะมีภาษีไม่ว่าจะขายกำไรหรือขายขาดทุน ทำให้นักลงทุนมองว่ามีต้นทุนค่าขายเพิ่มขึ้น ผลกระทบนี้จะมีผลต่อนักลงทุนต่างกันแล้วแต่วัตถุประสงค์การลงทุนและระยะเวลาการถือครองหุ้น แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ต้องกังวลคือกฎหมายให้ Broker เป็นผู้ชำระภาษีและจัดการแทนนักลงทุน ทำให้ลดภาระความยุ่งยากของนักลงทุนไปได้

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2566 กฎหมายมีเรื่องอัปเดตสองเรื่อง คือ
 
1.) รัฐบาลลดภาษีให้ในอัตรา 15% ของภาระภาษีที่คำนวณได้ การเลื่อนระยะเวลาการเสียภาษีของผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จากเดิมกำหนดไว้ในเดือนเมษายน 2566 เลื่อนเป็นเดือนมิถุนายน 2566 
 
2.)กลุ่มลดภาษี 50% เช่น ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของบุคคลธรรมดา ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ที่ได้มาทางมรดกก่อนวันที่ 13 มี.ค. 62

สิทธิ์ลดหย่อนภาษี
 
จากการซื้อสินค้าและบริการและได้ใบกำกับภาษีระหว่าง 1 มกราคม 2566 - 15 กุมภาพันธ์ 2566 สามารถนำมาหักเงินได้เสียภาษีได้ 40,000 บาท โดยแบ่งเป็นส่วนแรก 30,000 เป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ หรือใบรับ โดยใช้ได้ทั้งแบบกระดาษ / e-Tax Invoice / e-Receipt ส่วนที่ 2 อีกจำนวน 10,000 บาท ต้องมีใบกำกับภาษี หรือใบรับ โดยใช้ได้เฉพาะ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นให้ร้านค้าอยากเข้ามาร่วมในระบบจัดทำใบกำกับแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น จึงมองว่ามาตรการนี้เป็นประโยชน์ต่อการรับรู้ในระบบภาษีของประชาชนอย่างมากทีเดียว 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 ม.ค. 2566 เวลา : 08:56:22
28-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 28, 2024, 2:55 am