เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "บาทเริ่มกลับมาแข็งค่า ช่วยชะลอ fund flow ไหลออก"


 

แนวโน้มเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่า หลังตัวเลข PMI จีนออกมาแข็งแกร่ง ช่วยหนุนค่าเงินในภูมิภาค และสัญญาณเทคนิคแสดงโมเมนตัมสำหรับการแข็งค่าได้ต่อ มองจะช่วยชะลอ fund flow ไหลออก ซึ่งกดดัน SET อยู่ในปัจจุบัน ด้านแนวรับอยู่ที่ 1610-1615 จุด เป็นจุดติดตามสำหรับโอกาสฟื้นตัว ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1630-1637 จุด

ประเด็นสำคัญ
 
สหรัฐรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต ก.พ. ที่ 47.7 จาก 47.4 ใน ม.ค. แต่ระดับที่ต่ำกว่า 50 อยู่ในภาวะหดตัวด้านการผลิต
 
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน พ.ย. โดยอยู่ที่ระดับ 4.01%
 
จีนรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต ก.พ. ที่ 52.6 จาก 50.1 ใน ม.ค. เป็นการขยายตัวเร็วสุดนับตั้งแต่ เม.ย. 2555
 
สหรัฐหยั่งเสียงชาติพันธมิตรเกี่ยวความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรจีนรอบใหม่ หากว่าจีนสนับสนุนด้านการทหารแก่รัสเซียในสงครามยูเครน
 
รัฐบาลสหรัฐเตรียมออกกฎห้ามบริษัทผลิตชิปอเมริกันที่ได้รับเงินสนับสนุนผ่านโครงการ CHIPS and Science Act ขยายหรือลงทุนใหม่ในจีนเป็นเวลานาน 10 ปี
 
กกร. คาด ศก. ไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.0-3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้ ส่วนการส่งออกคาดหดตัว -1% ถึง 0% จากเดิมคาดขยายตัว 1-2% ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดอยู่ในกรอบ 2.7-3.2%
 
ธปท. ระบุดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ก.พ. 66 อยู่ที่ระดับ 50.6 เป็นการขึ้นมาเหนือระดับ 50 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน

กลยุทธ์การลงทุน
 
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Down โดยหลังสิ้นสุดการประกาศผลประกอบการ 4Q65 แล้ว คาดตลาดจะกลับไปโฟกัสเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น ซึ่งน่าจะยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจึงยังคงแนะนำ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน
 
Weekly Portfolio : มอง SET ยังอยู่ระหว่างรอปัจจัยหนุนใหม่ และจะกลับมาโฟกัสเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้นหลังสิ้นสุดประกาศงบปี 2565 ดังนั้นจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ไม่ไล่ราคา ดังนี้
 
1) หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือก กลุ่มสื่อ BEC MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN HMPRO
 
2) หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 65 สูงเกิน 4% และปี 66 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 66 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% เลือก KTB KKP และ AP
 
ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับ
 
1) หุ้นที่คาดเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่ AOT KBANK PTTEP EA TIDLOR
 
2) หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT TCAP BTS ASP MST

Daily focus
 
BJC 1Q66 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น ส่วนปี 2566 คาดกำไรเติบโต 23.6%YoY โดยได้รับการสนับสนุนจาก ยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้น และรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
 
SNNP ปี 2566 คาดสร้างสถิติกำไรสุทธิสูงสุดที่ 692 ลบ. เติบโต 33%YoY แรงหนุนจากปริมาณการขายในไทยและการส่งออกที่จะปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นที่จะสูงขึ้นหลังมีการปรับราคาขายและต้นทุนหลักลดลง
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 มี.ค. 2566 เวลา : 11:10:10
29-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 29, 2024, 7:48 pm