เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ไปได้ต่อ ภาพรวมลุ้นจุดกลับตัว"


SET สร้างสัญญาณเทคนิคที่เป็นบวกกลับมาฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น ซึ่งวันนี้คาดว่าโมเมนตัมยังเป็นบวกปรับขึ้นได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1575 และ 1595 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1540-1550 จุด ที่คาดยังรองรับได้ และภาพรวมมองไปถึงมีโอกาสเกิดจุดกลับตัวแล้ว โดยมีจุดติดตามบริเวณ 1533 จุด ซึ่งไม่ควรต่ำกว่า

ประเด็นสำคัญ

วันนี้จับตา ปธน. ไบเดน เรียกประชุมสภาคองเกรสพิจารณาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ เพื่อเลี่ยงผิดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลก่อนถึงเส้นตาย 1 มิ.ย. ด้าน รมว. คลังสหรัฐเตือนหากไม่ขยายเพดานหนี้ส่งผล ศก. ชะลอตัวแรง

การสำรวจของ Fed พบว่าธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ยากขึ้นใน 1Q66 และความต้องการกู้ชะลอตัวลง

วันนี้ประชุม ครม. นัดสุดท้าย คาด ก. พลังงานจะเสนอมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า โดยเป็นมาตรการ EV3.0 เพื่อแก้ปัญหาให้ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนสนับสนุนการผลิต EV ในไทย ส่วน EV3.5 ต้องรอรัฐบาลใหม่

กนอ. ระบุการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไทยทั่วประเทศล่าสุดมียอดขาย/เช่าที่ดินช่วงครึ่งปีงบประมาณ 2566 เบื้องต้นสูงถึง 2,975 ไร่ สูงกว่ายอดรวมตลอดปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 2,016 ไร่

ม. หอการค้าไทย ระบุผลสำรวจค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม 2566 มีเม็ดเงินสะพัด 5.78 หมื่นลบ. สูงสุดในรอบ 14 ปี จากค่าบำรุงการศึกษา อุปกรณ์การเรียนแพงขึ้น ด้านผู้ปกครองที่ระบุมีเงินเพียงพอใชจ่ายเพียง 63% ต่ำสุดรอบ 8 ปี
 
 
Reuters รายงานชาวจีนสนใจลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยในต่างแดน เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 และความเสี่ยง ศก. ในจีน ซึ่งไทยเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับชาวจีน

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และยังรอดูผลประกอบการ 1Q66 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศในเดือน พ.ค. นี้ ขณะที่ FED ส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยมองตลาดรับรู้เศรษฐกิจถดถอยแต่ไม่รุนแรงเกินที่คาดไว้ (Soft Landing) แต่ยังมีความเสี่ยงประเด็นเพดานหนี้ รวมทั้งฐานะการเงินของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ ดังนั้นกลยุทธ์จึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน

Weekly Portfolio : มอง SET อยู่ระหว่างเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และยังรอดูงบ 1Q66 ของกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้น Best of the best ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run

2. หาจังหวะซื้อสำหรับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะออกมาเติบโตดี YoY (Earnings Play) ซึ่งมองยัง outperform SET ได้ เลือก BJC ADVANC OSP ZEN

3. รอจังหวะซื้อหลังประกาศงบสำหรับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้และมีสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q66 เลือก KCE MINT AOT 

ขณะที่มีกลุ่มหุ้นแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF LPN MST SAWAD QH KTC PSH THRE TCAP MTC KEX KISS TU CBG GFPT BTG BTS BEM JASIF SAT IIG  NER

Daily focus

OSP 1Q66 คาดกำไรสุทธิลดลง 11.2%YoY แต่เพิ่มขึ้น 98%QoQ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและเงินปันผลจาก Unicharm ขณะที่ปี 2566 คาดกำไรสุทธิเติบโตสูง 43.8%YoY จากรายได้ฟื้นตัวและมาร์จิ้นดีขึ้นจากต้นทุนลดลงและทวงคืนส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มบำรุง

AOT มองกำไร 2QFY66 จะแข็งแกร่งขึ้นจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และจะเติบโตก้าวกระโดดใน 3QFY66 หลังกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำในวันที่ 1 เม.ย. หลังจากมาตรการช่วยเหลือสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์สิ้นสุดลง
 
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 พ.ค. 2566 เวลา : 11:26:11
07-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 7, 2024, 8:08 am