เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์"ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มในปี 2566 ย่อลงมาที่ 88 - 92 บาทต่อกก. หรือลดลง 7.5-11.5% ...กดดันเกษตรกรในภาวะที่ต้นทุนการผลิตยังยืนสูง"


· ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มในปี 2566 อาจย่อลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 88-92 บาทต่อกก.หรือลดลงร้อยละ 7.5-11.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 99.5 บาทต่อกก. เนื่องจากปัจจัยฉุดด้านอุปทานเป็นหลัก ทั้งจากการนำเข้าที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากแหล่งนำเข้าที่มีผลผลิตสูง และการผลิตสุกรในประเทศที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรบางส่วนจากปัญหาโรค ASF ที่ให้ภาพบรรเทาลงจากที่รุนแรงในปีก่อน สำหรับโจทย์ใหญ่ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องเผชิญคงเป็นเรื่องต้นทุนการผลิตที่ยังยืนสูงโดยเฉพาะต้นทุนอาหารสัตว์

· มองไปในช่วงระยะ 2 ปีนี้ ราคาสุกรน่าจะยังยืนสูง ตามอุปทานในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ไม่มี ASF จากความเสี่ยงของ ASF, Climate Change และต้นทุนการผลิตสูง ทำให้การผลิตคงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคที่เร่งขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ราคาสุกรในช่วงต้นปี 2566 ทยอยปรับตัวลดลงจากที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีก่อน จากอุปทานสุกรที่มีมากขึ้น ทั้งจากการกลับมาเลี้ยงของเกษตรกรบางส่วนและการนำเข้าบางหมวดที่เพิ่มขึ้น

· ราคาสุกรปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือนม.ค.2566 ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ยอยู่ที่ 100.5 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงในเดือนเม.ย.2566 ลดลงมาเฉลี่ยที่ 86.7 บาทต่อกิโลกรัม และล่าสุดในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.2566 ราคายังคงลงต่อไปเฉลี่ยที่ 84.3 บาทต่อกิโลกรัม สาเหตุสำคัญที่กดดันราคาคงมาจากในฝั่งอุปทานสุกรในตลาดที่มีมากขึ้น ทั้งจากการนำเข้าสุกรในบางรายการที่สูงขึ้นและการกลับมาเลี้ยงใหม่ของเกษตรกรบางส่วน โดยสถานการณ์ราคาขายที่ลดลงสวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ยังยืนสูงเช่นนี้ ได้ส่งสัญญาณที่ไม่สู้ดีนักต่อเกษตรกรที่คงต้องเผชิญความท้าทายต่อเนื่องจากปีก่อนและยังไม่ฟื้นตัวมากนักจากความบอบช้ำกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่สร้างความเสียหายอย่างมากในปีก่อน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ขอสรุปมุมมองที่มีต่อประเด็นราคาสุกร และสิ่งที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องเผชิญในปี 2566 ดังนี้
 
 

 
· ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของไทยเฉลี่ยในปี 2566 อาจให้ภาพที่ย่อลงจากปีก่อนเล็กน้อยไปอยู่ที่ราว 88-92 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 7.5-11.5 (YoY) ผลจากอุปทานสุกรในตลาดที่คงเพิ่มขึ้นเป็นหลัก

- การนำเข้าสุกรจากต่างประเทศอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอต่อการบริโภค จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้า เพื่อรองรับความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคบริการจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยแหล่งนำเข้าคงมาจากประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาใต้ ที่มีผลผลิตสุกรจำนวนมาก

- ผลผลิตสุกรในประเทศอาจเพิ่มขึ้น จากปัญหาโรค ASF ที่ให้ภาพบรรเทาลงจากปีก่อน ผ่านการจัดการฟาร์มสุกรที่ดีขึ้นตามระบบ Biosecurity ของเกษตรกรบางส่วน ทำให้คาดว่า ผลผลิตสุกรทั้งปี 2566 อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนไปอยู่ที่ราว 16.1 ล้านตัว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 (YoY) เทียบกับปี 2565 ที่เผชิญโรค ASF อย่างรุนแรง ฉุดผลผลิตสุกรทั้งปีให้ลดลงไปอยู่ที่ 15.5 ล้านตัว ทั้งนี้ คาดว่า ผลผลิตสุกรทั้งปี 2566 จะคิดเป็นปริมาณสุกรราวร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับภาวะปกติในปี 2564 ที่ไม่มี ASF

ทั้งนี้ ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 92.2 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 0.8 (YoY) โดยมองไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงให้ภาพของราคาที่ลดลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า ตามผลผลิตสุกรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงอย่างอิทธิพลของการเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงครึ่งหลังของปี ที่จะทำให้สภาพอากาศโดยรวมร้อนขึ้น ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสุกรที่ช้าลงและกดดันต่อผลผลิต ทำให้ราคาปรับลดลงไม่มากนัก อย่างไรก็ดี ราคาสุกรในปี 2566 ที่คาดราว 88-92 บาทต่อกิโลกรัม นับว่ายังคงอยู่บนฐานสูง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2560-2564 ราคาเฉลี่ยที่ 65.2 บาทต่อกิโลกรัม) เนื่องจากต้นทุนการผลิตยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะต้นทุนพืชอาหารสัตว์อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองนำเข้า รวมไปถึงต้นทุนการผลิตอื่นอย่างราคาน้ำมันและค่าไฟที่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง

 
สำหรับราคาขายปลีกหมูเนื้อแดงที่ตลาดในปัจจุบันก็ปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีตามราคาหน้าฟาร์ม และอาจปรับลงอีกเล็กน้อยในช่วงที่เหลือของปีตามอุปทานที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ทำให้เฉลี่ยทั้งปี 2566 ผู้บริโภคอาจซื้อเนื้อหมูได้ในราคาที่ถูกลงจากปีก่อน โดยคาดว่า ราคาขายปลีกหมูเนื้อแดง (สะโพก) เฉลี่ยทั้งปี 2566 อาจอยู่ที่ 160-170 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 7.2-12.6 อย่างไรก็ดี ในส่วนของปลายน้ำ คาดว่า ราคาอาหารที่มีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบในร้านอาหารน่าจะยังทรงตัวในระดับสูง จากต้นทุนการผลิตอื่นในเมนูอาหารที่ยังสูง รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆในการประกอบอาหารของร้านอาหาร เช่น ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม) ทำให้ผู้ประกอบการคงต้องประคองผลกำไรโดยรวมไว้

· โจทย์ใหญ่ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องเผชิญในปี 2566 คงหนีไม่พ้นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ยังยืนสูงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะต้นทุนราคาพืชอาหารสัตว์ที่ขึ้นอยู่กับราคาในตลาดโลก ซึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลกยังยืนสูงตามอุปทานที่ตึงตัวจากความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ รวมไปถึงต้นทุนราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ต้นทุนการจัดการฟาร์มที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันโรค ASF ที่ยังคงมีอยู่ และสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเลี้ยงสุกร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยที่คงได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่

มองต่อไปข้างหน้า แม้จะเร่งเพิ่มการผลิตในประเทศ แต่น่าจะยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับก่อนเกิด ASF ซึ่งคงไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคที่เร่งขึ้น ... ในระยะสั้นการนำเข้าจากแหล่งได้มาตรฐานอาจยังมีความจำเป็น ควบคู่กับการเร่งสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถกลับสู่ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

 
· ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในระยะ 2 ปีนี้ (ปี 2566-2567) ผลผลิตสุกรของไทยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่ทันต่อความต้องการบริโภคในประเทศที่เร่งขึ้น ทำให้การนำเข้าในแหล่งที่ได้มาตรฐานอาจจะยังมีความจำเป็นในระยะสั้น เพื่อบรรเทาการขาดแคลนสุกร แต่ในอีกทางหนึ่งคงกดดันราคา และจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้มีความยากลำบากมากขึ้นโดยเฉพาะรายย่อย ทั้งนี้ ในปี 2565 ไทยมีปริมาณการนำเข้าสุกรมีชีวิตและเนื้อสุกร เพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงปกติที่ไม่มี ASF

อย่างไรก็ดี การคลี่คลายสถานการณ์ ASF คงต้องใช้เวลาราว 2-3 ปี ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไทยน่าจะยังอยู่ในช่วงดำเนินการจัดการกับ ASF ซึ่งปัญหา ASF ก็น่าจะยังวนเวียนส่งผลกดดันต่อปริมาณผลผลิตสุกร อีกทั้งต้นทุนการผลิตที่ยังยืนสูงและส่วนใหญ่เป็นพืชอาหารสัตว์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนสูง จึงไม่จูงใจต่อการขยายการผลิตของเกษตรกรมากนัก รวมไปถึง Climate Change ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันปริมาณการผลิตสุกรไทยในช่วงนี้ให้อยู่ในระดับต่ำ และคงไม่ทันกับปริมาณความต้องการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มเร่งขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้น การพิจารณาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตตลอดทั้งสายการผลิตสุกรของไทยนับว่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของต้นน้ำที่ควรสนับสนุนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ธุรกิจมามีรายได้ที่คุ้มค่าต่อการผลิตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงแนวทางการคุมเข้มโรค ASF ไม่ให้ระบาดซ้ำ ก็นับว่ามีความจำเป็น ซึ่งจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อความเสียหายของผลผลิตสุกร และยังเป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารของไทยในระยะข้างหน้าอีกด้วย

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 พ.ค. 2566 เวลา : 17:12:52
06-05-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 6, 2024, 10:07 pm