เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล.อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ยังอ่อนตัวได้อยู่"


สัญญาณเทคนิคที่ยังเป็นลบ ตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน และความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้คาดว่าดัชนียังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้อยู่ โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1400 และ 1390 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1415 และ 1420 จุด ตามลำดับ

ประเด็นสำคัญ
 
• สหรัฐรายงานเงินเฟ้อทั่วไป ธ.ค. 66 +3.4%YoY และเงินเฟ้อพื้นฐาน ธ.ค. +3.9%YoY สูงกว่าคาด ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วลดลงสู่ 2.02 แสนราย ต่ำสุดรอบ 3 เดือน ทำให้ตลาดคาดอาจเร็วเกินไปที่ Fed จะเริ่มปรับลด ดบ. ลง
 
• Fed ฟิลาเดลเฟียระบุอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของบัตรเครดิตเกินระดับก่อนเกิด Covid-19 ขณะที่สัดส่วนผู้กู้ยืมที่ชำระเงินขั้นต่ำเพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 10% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562
 
• เช้านี้สหรัฐและอังกฤษ ดําเนินการทิ้งระเบิดทางอากาศต่อที่ตั้งทางทหารของกลุ่มฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเยเมน เป็นการตอบโต้การโจมตีเรือที่เดินทางผ่านทะเลแดงที่ยังดําเนินต่อไป
 
• บ. เทคโนโลยีรายใหญ่ของโลกหลายแห่งประกาศปรับลด พนง. ต่อเนื่องหลังถูก AI เข้ามาแทนที่ ล่าสุดเป็น Google และ Amazon ต่อจาก Huawei ฝั่งสหรัฐ-แคนาดา รวมทั้ง Lazada เครือ Alibaba ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
 
• ก. คลังเตรียมจัดตั้งบริษัทร่วมทุน JV AMC โดย ธ. ออมสินจะถือหุ้นในส่วน 50% คาดเริ่มภายใน 1Q67 ตั้งเป้าแก้หนี้เสีย 3 ล้านบัญชี ยอดหนี้กว่า 2 แสนลบ. เร่งลดเงินงวด-ตัดเงินต้น
 
• ม.หอการค้าไทยระบุดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค. 66 ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สูงสุดในรอบ 46 เดือนนับตั้งแต่ มี.ค. 63 จากนโยบายลดค่าครองชีพลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และมาตรการกระตุ้น ศก. ของรัฐบาล รวมทั้งการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ยังอยู่ภายใต้ Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”

ล็อคเป้าลงทุน

Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET มีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ยังอยู่ภายใต้ Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลบวก ดังนี้

1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จาก January Effect ซึ่งพบว่าในปี 2544-2566 มีโอกาสที่ SET จะปรับขึ้น 69.23% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 1.37% ทั้งนี้เลือก AOT KTB KBANK DIF ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยชนะ SET

2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT), การแพทย์ (BDMS), โรงไฟฟ้า (GULF), อสังหาฯ (AP) และ Consumer Finance (TIDLOR)

3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC HMPRO ZEN MINT ADVANC

ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง  ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)

DAILY TOP PICKS

BCP ช่วงสั้นได้ sentiment หนุนจากราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังสถานการณ์ตะวันออกกลางตึงเครียดมากขึ้น ขณะที่แม้คาดปี 2566 กำไรปกติจะอ่อนตัวลง 45%YoY จาก GRM สูงผิดปกติปี 2565 แต่จะกลับมาโต 52%YoY ในปี 2567 ทั้งยังจ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield ราวปีละ 8%

GPSC ช่วงสั้นได้ sentiment หนุนจาก Bond Yield ลดลง และราคาก๊าซที่อยู่ในระดับต่ำจากฤดูหนาวที่อบอุ่นกว่าปกติ ขณะที่อยู่ระหว่างปรับสัญญาขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นอ้างอิงราคาก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ช่วยลดความผันผวนของผลประกอบการจากค่า Ft ที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 12 ม.ค. 2567 เวลา : 11:01:47
29-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 29, 2024, 10:18 pm