การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา กับนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ที่เกาะเซนโตซา ประเทศสิงคโปร์ โดยผู้นำทั้งสองได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมย้ำเจตนารมณ์ยุติวิกฤตอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีอย่างสมบูรณ์ แต่แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงข้อเรียกร้องใดๆ ของฝ่ายสหรัฐก่อนหน้านี้ ที่เรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างถาวรและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองจะเดินทางออกจากสิงคโปร์และกลับสู่มาตุภูมิทันที
cr photo : business insider
ซึ่งบรรยากาศการพบกันของผู้นำทั้งสองดำเนินไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยระดับเข้มข้น ขณะที่บรรดาชาติที่มีความเกี่ยวข้องในการเจรจาอย่างจีน และเกาหลีใต้ ต่างแสดงความยินดีต่อพัฒนาการทางบวกครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี โดยประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำถึงความต้องการที่จะเชิญนายคิมไปเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ โดยกล่าวว่า "แล้วพบกันอีกครั้ง" พร้อมประกาศว่า สงครามเกาหลีจะยุติในเร็ววัน ด้านผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือก็ยืนยันว่าจะ "ทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง" และว่า "โลกจะได้ชมความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่"
ประธานาธิบดีมุน แจอิน ผู้นำเกาหลีใต้ ซึ่งเฝ้าติดตามการถ่ายทอดสดการประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้อย่างใกล้ชิด เปิดเผยกับคณะรัฐมนตรีของตัวเองว่า แทบนอนไม่หลับตลอดคืนก่อนการประชุม ขณะที่ทางการจีน พันธมิตรของเกาหลีเหนือ แสดงความยินดีต่อการประชุมที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขวิกฤตอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีเหนืออย่างสมบูรณ์
นายหวัง อี้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า การที่ผู้นำของทั้งสองชาติคู่ขัดแย้ง สามารถนั่งลงพูดคุยกันได้ถือเป็นสัญญาณทางบวก และเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ โดยปัญหาหลักของคาบสมุทรเกาหลีนั้นเป็นปัญหาด้านความมั่นคง สหรัฐและเกาหลีเหนือควรจะนั่งลงพูดคุยกันเพื่อหาทางบรรลุหนทางแก้ปัญหาอย่างเท่าเทียม การแก้ปัญหาเรื่องนิวเคลียร์ถือเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันควรมีกลไกแก้ไขปัญหาอย่างสันติด้วย เพื่อจัดการกับความกังวลที่สมเหตุสมผลของเกาหลีเหนือ
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกถึงหารือดังกล่าวว่า เท่าที่ทราบเบื้องต้น เห็นว่ามีความ คืบหน้า และการพูดคุยเป็นไปด้วยดี ส่วนผลการหารือจะออกมาเป็นอย่างไร ยังไม่ทราบ แต่เป็นแนวโน้มที่ดีต่อโลก ถ้าสามารถทำได้ตามที่ตกลงกัน และขอให้กำลังใจกับผู้นำทั้ง 2 ประเทศ
ด้านนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นการหารือที่ทั้งสองฝ่ายจะพอใจ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมท่าทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าที่จะทำได้ไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม การแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการต้องรอข่าวที่เป็นทางการออกมาก่อน เชื่อว่าท่าทีที่จะออกมานั้นจะส่งผลดีต่อภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก สิ่งต่างๆ ที่ออกมาเป็นประเด็นที่สร้างสรรค์ และการได้มาสัมผัสมือกันของผู้นำทั้ง 2 ประเทศถือว่า เป็นเรื่องที่ดี และถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็จะลดความตึงเครียดได้
ข่าวเด่น