เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
วิกฤติการเงินตุรกี จากความเปราะบางทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางการเมือง


ตุรกีเผชิญกับปัญหาความเปราะบางทางเศรษฐกิจเป็นเวลานาน สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลในระดับสูงต่อเนื่อง สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อ GDP ที่สูง และสัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น

นักลงทุนกังวลต่อประเด็นความเปราะบางทางเศรษฐกิจมากขึ้น หลังความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรง โดยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2018 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรตุรกีด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากตุรกีเป็น 50% และ 20% ตามลำดับ เพื่อกดดันตุรกีในประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะเดียวกันตุรกีก็ได้ประกาศจะตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ประกอบด้วย ภาษีรถยนต์ 120% ภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์140% และภาษีบุหรี่ 60% เช่นกัน

 

 

ค่าเงินลีราตุรกีเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าอย่างรุนแรงถึง 63% นับตั้งแต่ต้นปี 2018 โดยเป็นการอ่อนค่า 24% นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2018 ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 2% มาอยู่ที่ 20.12% นับจากต้นเดือนสิงหาคม และตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 6.34%นับจากต้นเดือนเช่นกัน

ปัญหาวิกฤติการเงินตุรกีมีต้นตอมาจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจของประเทศตุรกีเป็นหลัก เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจตุรกีมีความเปราะบางทั้งจากเสถียรภาพภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยเสถียรภาพภายในประเทศมีความเปราะบางจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 15.1% YOY ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อของประเทศเกิดใหม่ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ เสถียรภาพต่างประเทศของตุรกีก็เปราะบางด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเป็นเวลานานนับตั้งแต่ปี 2009 และขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 7% ต่อ GDP ในไตรมาส 1 ปี 2018นอกจากนี้ ตุรกียังมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยในปี2017 อยู่ที่ 53.3% เพิ่มสูงขึ้นจาก 36.6% ในปี 2007 โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินระยะสั้น จึงทำให้สัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นของตุรกีน้อยกว่า 1 เท่าในปี 2017 ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในด้านเสถียรภาพการเงินของประเทศ และนำไปสู่การลดสัดส่วนการลงทุน (exposure) ในตุรกีลง ค่าเงินลีราจึงอ่อนค่าลงมาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้น และดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลง

ประเด็นทางการเมืองระหว่างตุรกีกับสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่ทำให้ความกังวลต่อความเปราะบางทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากตุรกีไม่ยอมปล่อยนายแอนดริว บรุนสัน บาทหลวงชาวอเมริกัน ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพยายามก่อรัฐประหารเมื่อปี 2016 ขณะเดียวกันตุรกีไม่พอใจสหรัฐฯ ที่ไม่มีท่าทีประณามการก่อรัฐประหารในปี 2016 และปฏิเสธการส่งตัวนายเฟตุลลาห์ กูเลน ที่ลี้ภัยมาในสหรัฐฯ โดยตุรกีกล่าวหาว่านายเฟตุลลาห์เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความพยายามโค่นอำนาจในครั้งนั้น จากความไม่ลงรอยระหว่างตุรกีกับสหรัฐฯ ท่ามกลางความเปราะบางทางเศรษฐกิจของตุรกีที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน จึงทำให้นักลงทุนเพิ่มความกังวลต่อเสถียรภาพการเงินของตุรกีมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นตัวชนวนของวิกฤติการเงินในครั้งนี้

ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานและยังไม่สามารถแก้ไขได้ ส่งผลให้ธนาคารกลางสูญเสียความน่าเชื่อถือ (policy credibility) โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา จากค่าเงินที่อ่อนค่าลงมากรวมถึงเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาวของสาธารณะ[1] เพิ่มสูงขึ้นจาก 8% ในปลายปี 2017 เป็น 16.3% ในเดือนกรกฎาคม 2018 ซึ่งมีนัยสะท้อนว่าธนาคารกลางตุรกีอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือในการดำเนินนโยบายทางการเงิน เพราะไม่สามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาวได้ จึงเป็นความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินในระยะต่อไป นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางของตุรกีมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั้น ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักต่อความเป็นอิสระของการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง (central bank independence) ด้วยเช่นกัน

อีไอซีมองว่าโอกาสที่วิกฤติการเงินตุรกีจะส่งผลกระทบต่อไทยมีจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกไทยไปยังตุรกีมีน้อย และพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยในปี 2017 ไทยส่งออกสินค้าไปยังตุรกีเพียง 0.5% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมด โดยมีสินค้าส่งออกหลักคือ รถยนต์ และเครื่องปรับอากาศ ฉะนั้นวิกฤติการเงินตุรกีจึงกระทบต่อการส่งออกไทยในวงจำกัด[2] นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงมีเสถียรภาพต่างประเทศ (external stability) อยู่ในเกณฑ์ดี และมีกันชนทางการเงิน (cushion)ที่สูง กล่าวคือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลกว่า 11% ต่อ GDP สัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นของไทยอยู่ที่ 3.42 เท่า และเงินสำรองระหว่างประเทศในเดือนมีนาคม 2018 ของไทยมีจำนวณ 206.95พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คิดเป็น 43.52% ต่อ GDP) สำหรับผลกระทบต่อตลาดเงินไทยนั้น ความผันผวนในระยะสั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อโอกาสที่วิกฤติการเงินตุรกีจะส่งผ่านไปยังเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่อื่นๆ (contagion risk) จึงทำให้เกิดภาวะ risk-off sentiment โดยพบว่าดัชนีตลาดหุ้นและค่าเงินส่วนใหญ่ในประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยลด/อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า อีไอซีมองว่าหลังจากที่นักลงทุนคลายความกังวลต่อผลกระทบของวิกฤติในตุรกี ก็น่าจะทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดเงินไทยได้ เพราะนักลงทุนน่าจะยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่ง

ทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเงินของตุรกีอาจไม่ง่ายนัก และจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน อีไอซีมองว่าการดำเนินนโยบายของตุรกีเพื่อแก้ไขปัญหาจะมีความยากลำบาก โดยทางเลือกเชิงนโยบายอาจมีด้วยกัน 3 ทาง คือ 1) การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอการอ่อนค่าของค่าเงินลีราตุรกีและลดอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศลง อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารกลางมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นมากในอนาคต ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะชะลอลง หรืออาจถึงขั้นเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ 2) การออกมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย (capital control) เพื่อลดการไหลออกของเงินทุนจากตุรกีและชะลอการอ่อนค่าของค่าเงิน อย่างไรก็ตาม มาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ประเทศได้ในเวลาเดียวกัน และ 3) การขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ทั้งนี้ รัฐบาลตุรกีเคยปฏิเสธทางเลือกนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตุรกียังคงเผชิญกับแรงกดดันจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ ก็อาจทำให้รัฐบาลตุรกีจำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือจาก IMF ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป เพราะตุรกีจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ IMF อย่างเคร่งครัด


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 ส.ค. 2561 เวลา : 18:17:10
25-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

3. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ลบ 42.77 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด บดบังผลประกอบการ บจ.แกร่ง

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ร่วง 3.70 เหรียญ นักลงทุนคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

6. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด และมีฝนฟ้าคะนองในภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่งตต. 20% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 10%

7. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 37.00-37.25 บาท/ดอลลาร์

8. ทองเปิดตลาด (25 เม.ย. 67) ปรับขึ้น 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,300 บาท

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนึ้ (25 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.08 บาทต่อดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 เม.ย.67) ลบ 2.13 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,358.97 จุด

11. ตลาดหุ้นปิด (24 เม.ย.67) บวก 3.64 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.10 จุด

12. ประกาศ กปน.: 27 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 เม.ย.67) บวก 3.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,360.90 จุด

14. MTS Gold คาดว่าจะมีกรอบแนวรับที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านที่ 2,335 เหรียญ

15. ทองนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืน (23 เม.ย.67) ร่วง 4.30 เหรียญ คลายความกังวลตะวันออกกลาง-จับตาเงินเฟ้อและGDPสหรัฐ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 5:07 pm